วัดไทยสถานที่ท่องเที่ยว

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม (วัดเบญจฯ) พระอุโบสถหินอ่อนหนึ่งเดียวในประเทศไทย

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอุโบสถหินอ่อนแห่งเดียวในประเทศไทย ก่อสร้างศิลปะสถาปัตยกรรมแบบไทย พระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข สร้างในสมัยรัชกาลที่ 5 วัดเบญจบพิตร หมายความว่า วัดของเจ้านาย 5 พระองค์

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ประดิษฐานพระพุทธชินราช

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ไม่ปรากฏหลักฐานว่าสร้างขึ้นเมื่อใด เดิมชื่อ วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง ภายหลังได้รับพระราชทานนามใหม่จาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ว่า วัดเบญจบพิตร ซึ่งหมายถึง วัดของเจ้านาย ๕ พระองค์ที่ทรงร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแห่งนี้ขึ้นใหม่ เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างสวนดุสิตขึ้นพระองค์ทรงทำผาติกรรมสถาปนาวัดขึ้นใหม่และพระราชทานามว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๕

ประวัติวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เดิมชื่อ วัดแหลม หรือ วัดไทรทอง เป็นวัดราษฎรที่ไม่ปรากฎหลักฐานว่าสร้างขึ้นสมัยใด ในรัชสมัย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) หลังจากปราบกบฏเจ้าอนุวงศ์แล้ว กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์ พร้อมพระอนุชาและพระขนิษฐาร่วมเจ้าจอมมารดาเดียวกันอีก ๕ พระองค์ รวม ๕ พระองค์ คือ

  • พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิพิธโภคภูเบนทร์
  • พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระพิทักษ์เทเวศร์ (ต้นราชสกุลกุญชร)
  • พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงภูวเนตรนรินทรฤทธิ์ (ต้นราชสกุลทินกร)
  • พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอินทนิล และ
  • พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงวงศ์

โดยเจ้านายทั้ง ๕ พระองค์ ทรงมีพระประสงค์ที่จะร่วมกันปฏิสังขรณ์วัดแหลม พร้อมทั้งทรงสร้างพระเจดีย์เรียงรายไว้หน้าวัด ๕ องค์ ต่อมาพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามใหม่ว่า วัดเบญจบพิตร หมายความว่า วัดของเจ้านาย ๕ พระองค์

พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เมื่อแรกสร้างในปี พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ซื้อที่ดินระหว่างคลองผดุงกรุงเกษมจนถึงคลองสามเสนเพื่อสร้างที่ประทับพักผ่อนพระอิริยาบถส่วนพระองค์ โดยพระราชทานนามว่า “สวนดุสิต” (พระราชวังดุสิต ในปัจจุบัน) ซึ่งบริเวณที่ดินที่ทรงซื้อนั้นมีวัดโบราณ ๒ แห่ง คือ วัดดุสิต ที่อยู่ในสภาพทรุดโทรมโดยถูกใช้เป็นที่สร้างพลับพลา และวัดร้างอีกแห่งซึ่งจำเป็นต้องใช้ที่ดินของวัดสำหรับตัดเป็นถนน พระองค์จึงทรงกระทำผาติกรรม(การทำให้เจริญ) สร้างวัดแห่งใหม่เพื่อเป็นการทดแทนตามประเพณี โดยรัชกาลที่ ๕ ทรงเลือกวัดเบญจมบพิตรเป็นวัดที่ทรงสถาปนาตามพระราชดำริว่า การสร้างวัดใหม่หลายวัดยากต่อการบำรุงรักษา ถ้ารวมเงินสร้างวัดเดียวให้เป็นวัดใหญ่ และทำโดยช่างฝีมือที่ประณีตจะดีกว่า จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ เป็นผู้ทรงออกแบบก่อสร้างพระอุโบสถและถาวรวัตถุอื่น ๆ และมีพระยาราชสงคราม (กร หงสกุล) เป็นนายช่างก่อสร้างวัดเบจมบพิตรให้แล้วเสร็จ

เมื่อวันที่ ๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๔๔๑ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จพระราชดำเนินมายังวัด ในการนี้มีพระบรมราชโองการประกาศพระบรมราชูทิศถวายที่ดินให้เป็นเขตวิสุงคามสีมาของวัด พร้อมทั้งพระราชทานนามวัดใหม่ว่า วัดเบญจมบพิตร อันหมายถึง วัดของพระเจ้าแผ่นดินรัชกาลที่ ๕ และเพื่อแสดงลำดับรัชกาลในมหาจักรีบรมราชวงศ์ ต่อมา พระองค์ได้ถวายที่ดินซึ่งพระองค์ขนานนามว่า ดุสิตวนาราม ให้เป็นที่วิสุงคามสีมาเพิ่มเติมแก่วัดเบญจมบพิตร และโปรดฯ ให้เรียกนามรวมกันว่า วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๖) ในปี พ.ศ. ๒๔๕๘ ได้มีการจัดระเบียบพระอารามหลวง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จัดเป็นพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ดังนั้น ชื่อวัดจึงมีสร้อยนามต่อท้ายด้วย “ราชวรวิหาร” คือ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร ดังเช่นในปัจจุบัน

สถาปัตยกรรมวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

สถาปัตยกรรมที่โดเด่นของวัดเบญจมบพิตร คือ พระอุโบสถหินอ่อน ที่ชาวต่างชาติรู้จักในนาม วัดหินอ่อน (The Marble Temple) วัดเบญจมบพิตรฯ เป็นวิจิตรศิลป์ไทย-วัสดุฝรั่งที่ผสมผสานกลมกลืนกันได้อย่างลงตัว ออกแบบโดยสมเด็จฯ เจ้าฟ้ากรมพระยานริศรานุวัดติวงศ์ พระบิดาแห่งสถาปัตยกรรมไทย หรือ ‘สมเด็จครู’ ของช่างไทย พระอุโบสถเป็นแบบจัตุรมุข (กากบาท) เสาและผนังกรุด้วยหินอ่อนสีขาวจากเมืองคาราร่าห์ ประเทศอิตาลี ซึ่งถือว่าเป็นหินอ่อนที่มีคุณภาพดีที่สุดในยุคนั้น ด้านหน้ามีสิงห์แบบเขมร เป็นทวารบาล ที่มีลักษณะเด่น คือ ขาคู่หน้าเหยียดตรง ขาคู่หลังนั่งย่อ

หน้าบันพระอุโบสถด้านหน้าเป็นแบบไทย ตรงกลางหน้าบันทิศตะวันออก (ด้านหน้า) เป็นรูปนารายณ์ทรงสุบรรณ (ครุฑ) สัญลักษณ์แห่งองค์พระมหากษัตริย์ที่เชื่อกันว่า คือพระนารายณ์อวตาร ส่วนระเบียงคดที่ล้อมรอบพระอุโบสถ มีหน้าบันรูปตราประจำกระทรวงทั้งสิบสองประดับ ภายในระเบียงคดมีพระพุทธรูปโบราณที่นำมาจากพระนคร หัวเมืองต่าง ๆ และต่างประเทศ หลังสิ้นสงครามเสียกรุงฯ ครั้งที่ ๒ โดยมีพระพุทธรูปสัมฤทธิ์ปางลีลา พุทธศิลปะสุโขทัยคลาสสิก ที่ ศ. ศิลป์ พีระศรี ศิลปินผู้มีชื่อเสียงชาวอิตาเลียน และหนึ่งในคณะผู้ก่อตั้งมหาวิทยาลัยศิลปากรชื่นชมว่างดงามที่สุดในโลก คือมีความอ่อนช้อย พลิ้วไหว แต่มั่นคงไม่เอนเอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง และเป็นต้นแบบของพระศรีศากยะทศพลญาณฯ พระประธานพุทธมณฑล

พระอุโบสถปูพื้นด้วยหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา มีภาพใบเสมาสลักอยู่บนพื้นด้านทิศเหนือและทิศใต้ ด้านละ ๔ ใบ แทนการประดิษฐานใบเสมาในซุ้มใบเสมารอบพระอุโบสถอย่างเช่นวัดอื่น ๆ

บานหน้าต่างพระอุโบสถ ประดับโลหะนูน ส่วนด้านบนเป็นกระจกสีภาพเทพพนม ภายในประดิษฐานพระประธาน คือ พระพุทธชินราชองค์จำลอง ซึ่งรัชกาลที่ ๕ ทรงโปรดฯ ให้กรมหลวงดำรงราชานุภาพ (พระยศขณะนั้น) เสด็จไปทรงเป็นแม่กองหล่อ ณ วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ เมืองพิษณุโลก แล้วจึงอัญเชิญล่องแพลงมา โดยองค์นี้ มีพุทธศิลป์แบบสุโขทัยตอนปลายเช่นเดียวกับพระพุทธชินราชองค์จริง ดูจากนิ้วพระหัตถ์ทั้งสี่ที่ยาวเสมอกัน แต่ไม่มีอุณาโลมกลางพระนลาฏ (หน้าผาก)

ผนังด้านในพระอุโบสถทั้งสี่มุมจะมีซุ้มภาพเขียนแปดจอมเจดีย์ในประเทศไทย มุมละ ๒ ซุ้ม หลังคาวัดและระเบียงคดมุงด้วยกระเบื้องกาบูสีเหลือง คือ กระเบื้องกาบโค้งครอบแผ่นรองตามแบบจีน แต่มีเชิงชายเป็นแผ่นลายเทพพนมตามแบบศิลปะไทย

สถาปัตยกรรมสำคัญภายในวัด

พระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พระอุโบสถหินอ่อนที่ ก่อสร้างศิลปะสถาปัตยกรรมไทย พระอุโบสถเป็นแบบจตุรมุข มุขด้านตะวันออกขยายยาว ด้านเหนือและใต้มีมุขกระสันต่อกับพระระเบียง หลังคา ๔ ชั้น ด้านมุขกระสันทิศเหนือและทิศใต้ ๕ ชั้น มีพระระเบียงโอบรอบด้านหลังด้านหน้าพระอุโบสถ มีกำแพงแก้ว บนมุมกำแพงแก้วซ้าย-ขวา มีเสาคอนกรีตหัวเสาเป็นศิลาสลักรูปดอกบัวตูม คือเครื่องหมาย “สีมา” สำหรับด้านหน้า ส่วนสีมาด้านหลังพระอุโบสถ สลักรูปเสมาธรรมจักรที่แผ่นหินแกรนิตปูพื้นภายในกำแพงแก้ว ปูหินแกรนิตสีชมพูอ่อนและสีเทา

พระที่นั่งทรงธรรม

เป็นตึก ๒ ชั้น ก่ออิฐถือปูนตลอด พื้นชั้นล่างและบันไดปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ หลังคา ๒ ชั้น มุงกระเบื้องเคลือบสี ช่อฟ้าใบระกาลงรักปิดทองทึบ หน้าบันทั้ง ๔ ด้าน จำหลักภาพต่าง ๆ ปิดทองประดับกระจก ภายในผนังเสมอกรอบหน้าต่าง ประกบแผ่นหินอ่อนสีขาว เสาเขียนลายรดน้ำเทพนม ตั้งธรรมาสน์กลางห้อง ด้านใต้กั้นพระฉากดีบุกฉลุลายไทยเทพนมและกุมภัณฑ์ เพื่อเป็นที่ประทับของฝ่ายใน พระที่นั่งทรงธรรมนี้ “สมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี” ทรงสร้างอุทิศสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช เจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ สยามมกุฎราชกุมาร เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว มีพระราชประสงค์ใช้เป็นที่ประทับแรมเวลาทรงธรรมรักษาอุโบสถศีล ต่อมาได้เคยใช้เป็นที่ประชุมสังฆมนตรี, ที่ศึกษาพระปริยัติธรรม จัดงานประจำปีของวัด ตั้งพระศพและศพบุคคลสำคัญของชาติ ในเวลาตั้งพระศพศาลาแห่งนี้มีศักดิ์เป็นรองจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท เช่น พระศพของพระนางเจ้าสุวัทนา พระวรราชเทวี พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าเหมวดี พระศพพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอดิศัยสุริยาภา พระศพพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวิภาวดีรังสิต พระศพสมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (ปลด กิตฺติโสภโณ) ศพจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ นายกรัฐมนตรี เป็นต้น ปัจจุบันคงใช้ในกิจกรรมของวัด และตั้งพระศพหรือศพบุคคลสำคัญ

พระที่นั่งผนวช

พระที่นั่งผนวช เป็นพระที่นั่งที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯให้รื้อมาจากพระพุทธรัตนสถาน เป็นหมู่กุฏิประกอบด้วย “พระที่นั่งทรงผนวช” อยู่ด้านทิศเหนือ “พระกุฏิ” อยู่ด้านทิศใต้ กับกุฏิ ๒ ห้อง ๒ หลัง อยู่ด้านตะวันออกและตะวันตก มีหอเสวยกลาง มีลานหินอ่อนโดยรอบมีช่อฟ้า ใบระกา ลำยอง ลงรักปิดทองทึบหลังด้านทิศใต้คือ “พระกุฏิ” หน้าบันจำหลักลายประกอบ “พัดยศ” ลงรักปิดทองประดับกระจก มีความหมายว่าเป็นที่ประทับของสมเด็จพระอุปัชฌาย์ เมื่อพระองค์ทรงผนวชส่วนหลังทิศเหนือคือ ‘”พระที่นั่งทรงผนวช”‘ เป็นตรีมุข ประตูหน้าต่างด้านนอกเขียนลายรดน้ำตรา “เครื่องราชอิสริยาภรณ์” ที่ทรงปรับปรุงขึ้นใหม่เป็น ๕ สาย ๕ ชั้น ด้านในเขียนภาพเทวดาถือดอกไม้เหนือคนแคระหน้าบันทั้ง ๓ ด้านจำหลักลายไทยประกอบตรา “พระเกี้ยว” ซึ่งเป็นตราประจำของพระองค์ ลงรักปิดทองประดับกระจก หมายถึงพระที่นั่งองค์นี้ เป็นที่ประทับเมื่อคราวพระองค์ทรงผนวชภายในพระที่นั่งทรงผนวช มีพระแท่นบรรทม พระบรมรูปเมื่อทรงผนวช พระบรมรูปสลักหินอ่อน พระพุทธรูป พระเสลี่ยงน้อย ซึ่งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงถวายเพื่อเป็นธรรมาสน์แสดงธรรมและแสดงพระปาติโมกข์ครั้งแรกในวัดเบญจมบพิตร เครื่องลายครามต่าง ๆ

พระวิหารสมเด็จ

พระวิหารสมเด็จ เป็นตึกจตุรมุข ๒ ชั้น แต่มุขด้านใต้เชื่อมต่อกับมุขกุฏิสมเด็จ มุขด้านตะวันออกและตะวันตกขยายยาวเป็นชั้นเดียว บันไดพื้นชั้นล่างปูหินอ่อน ชั้นบนปูไม้ความงามของพระวิหารนี้อยู่ที่ประตูหน้าต่างที่เขียนลายไทยรดน้ำทั้งชั้นล่างและชั้นบน หน้าบันและซุ้มประตูหน้าต่าง ปั้นลายก้านขดประกอบตราพระนามาภิไธยย่อ'”ส.ผ.”‘(เสาวภาผ่องศรี) ลงรักปิดทองประดับกระจกข้างบันไดขึ้นด้านหน้าหล่อราชสีห์ประดับ ๒ ตัว

หอระฆังบวรวงศ์

หอระฆังบวรวงศ์ เป็นหอระฆังทรงไทยประกอบหินอ่อน สร้างขึ้นโดยพระบรมวงศานุวงศ์ในกรมพระราชวังบวรสถานมงคล และข้าราชการ ระฆังภายในหอนั้นนำมาจากวัดบวรสถานสุทธาวาส ซึ่งเป็นวัดประจำพระราชวังบวรสถานมงคล หน้าบันของหอระฆังจำหลักลายไทยประกอบภาพตราประจำตำแหน่งกรมพระราชวังบวรสถานมงคล โดยหน้าบันทิศตะวันตกเป็นภาพ “พระลักษณ์ทรงหนุมาน” ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งองค์เดิม ส่วนหน้าบันทิศตะวันออก เป็นภาพ “พระนารายณ์ทรงปืน” ซึ่งเป็นตราประจำตำแหน่งองค์ที่ได้รับการปรับปรุงขึ้นใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดการเปิดและฉลองหอระฆังเมื่อวันที่ ๖ ธันวาคม พ.ศ. ๒๔๔๕ พร้อมทั้งพระราชทานามว่า หอระฆังบวรวงศ์

ศาลาสี่สมเด็จ

ศาลาสี่สมเด็จ เป็นศาลาจตุรมุขพื้นศิลา หลังคาประดับด้วยช่อฟ้าใบระกา สร้างขึ้นจากพระราชทรัพย์ของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมกับสมเด็จพระเจ้าน้องนางเธอและสมเด็จพระเจ้าน้องยาเธอร่วมพระราชชนนีอีก ๓ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช โดยพระองค์พระราชทานนามศาลาแห่งนี้ว่า ศาลาสี่สมเด็จ ไว้เป็นที่พักผ่อนสำหรับพระสงฆ์และสามเณร ปัจจุบัน ศาลาสี่สมเด็จใช้เป็นหอกลอง

บริเวณหน้าบันทั้ง ๔ ด้านของศาลาสี่สมเด็จได้จำหลักลายไทยเป็นตราประจำพระองค์ของแต่ละพระองค์ไว้ ได้แก่ ตราพระเกี้ยว พระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ตราจันทรมณฑล ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจันทรมณฑล กรมหลวงวิสุทธิกระษัตริย์ ตราจักร ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าจาตุรนต์รัศมี กรมพระจักรพรรดิพงศ์ และ ตราสุริโยทัย ตราประจำพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าภาณุรังษีสว่างวงศ์ กรมพระยาภาณุพันธุวงศ์วรเดช

ศาลาบัณณรศภาค

ศาลาบัณณรศภาค เป็นศาลาจตุรมุข สร้างด้วยทุนทรัพย์ของพระมเหสี เจ้าจอม พระราชโอรส พระราชธิดาและพระญาติในรัชกาลที่ ๕ รวม ๑๕ พระองค์ ปัจจุบัน ใช้เป็นที่ตั้งศพบุคคลสำคัญ เช่น หม่อมราชวงศ์กัลยาณกิติ์ กิติยากร พันโทหญิง หม่อมกอบแก้ว อาภากร ณ อยุธยา หม่อมราชวงศ์อดุลกิติ์ กิติยากร ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค นายสมัคร สุนทรเวช อดีตนายกรัฐมนตรี ฯลฯ

ศาลาอุรุพงศ์

ศาลาอุรุพงศ์ เป็นศาลาทรงไทย จตุรมุข หลังเล็ก ๆ ก่ออิฐถือปูน พื้นคอนกรีต หลังคามุงกระเบื้องเคลือบ ตั้งอยู่สนามหญ้าหลังพระอุโบสถ ด้านทิศเหนือต้นพระศรีมหาโพธิ์ สันนิษฐานว่าหลังเดิมสร้างแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ประมาณ พ.ศ. ๒๔๕๓ เป็นศาลาเครื่องไม้ทั้งหมด ต่อมาถึงสมัยรัชกาลที่ ๖ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๙ ถูกพายุพัดหักลง พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดเกล้าฯให้ซ่อมขึ้นใหม่ แต่คงเป็นศาลาเครื่องไม้เช่นเดิมต่อมาเจ้าจอมมารดาเลื่อน ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้บริจาคทรัพย์เปลี่ยนศาลาจากเดิมให้เป็นจตุรมุข ผูกเหล็กหล่อคอนกรีตทั้งหลังศาลาหลังนี้เป็นที่บรรจุพระอังคารของพระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอุรุพงศ์รัชสมโภชพระราชโอรสในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวกับเจ้าจอมมารดาเลื่อน

ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ

ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ เป็นอาคารก่ออิฐถือปูน ๔ ชั้น มีดาดฟ้าเป็นชั้นที่๕สร้างขึ้นเนื่องในวโรกาสที่สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมารเจริญพระชนมมายุครบ ๒๕ ชันษา เมื่อวันที่ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๑๘ สร้างเสร็จแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิด เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม ๒๕๒๔ศาลาธรรมชินราชปัญจบพิธ เป็นศาลาอเนกประสงค์ ที่รวมหน่วยงานสำคัญต่าง ๆ ของวัด

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร

พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร เป็นพิพิธภัณฑ์ ที่รวบรวมพระพุทธรูปโบราณแบบต่างๅ แต่ละยุคแต่ละสมัยไว้จำนานมาก โดยหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัวได้ทรงสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า ที่ระเบียงพระวิหารคดควรจะมีพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ มาประดิษฐานไว้เพื่อความสวยงามและวิจิตรพิสดาร และเพื่อเป็นที่สักการบูชาของประชาชนที่มาเยือนวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

พระพุทธรูปสำคัญ

พระพุทธชินราช วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

พระพุทธชินราช เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย นั่งสมาธิราบ จำลองแบบจากพระพุทธชินราช วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร จังหวัดพิษณุโลก พระพุทธชินราชองค์จำลองประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร

พระพุทธชินราช วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร
พระพุทธชินราช วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร

ตามประวัติพระพุทธชินราช กรุงเทพฯ กล่าวว่า เมื่อพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม พุทธศักราช ๒๔๔๒ โปรดให้ออกแบบพระอุโบสถตกแต่งไว้ด้วยหินอ่อนงดงามวิจิตร จำเป็นต้องแสวงหาพระประธานที่มีความทัดเทียมกัน และทรงระลึกได้ว่า เมื่อ พ.ศ. ๒๔๐๙ ทรงบรรพชาเป็นสามเณรได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวไปนมัสการพระพุทธชินราช ที่เมืองพิษณุโลก พระพุทธชินราชเป็นพระพุทธรูปที่งดงามไม่มีที่เปรียบ แต่การจะอัญเชิญลงมา ดูจะเป็นการไม่สมควร ด้วยเป็นสิริของชาวพิษณุโลก จึงมีดำริให้หล่อขึ้นใหม่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงโปรดเกล้าฯ ให้พระประสิทธิปฏิมา (เหมาะ ดวงจักร) จางวางช่างหล่อขวา ซึ่งเป็นช่างหล่อฝีมือดีที่สุดของพระนคร ขึ้นไปปั้นหุ่นถ่ายแบบจากพระพุทธชินราชองค์เดิม ที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุ จังหวัดพิษณุโลก

แล้วเสด็จพระราชดำเนินทรงเททองหล่อเป็นส่วนๆ เมื่อวันที่ ๒๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๔๔๔ อัญเชิญล่องเรือมาคุมองค์และแต่งที่กรมทหารเรือ โดยพระยาชลยุทธโยธิน (Andre du Plessis de Richelieu) ชาวเดนมาร์ก เข้ามารับราชการเป็นทหารเรือ มียศเป็นพลเรือโท ตำแหน่งผู้บัญชาการกรมทหารเรือ เป็นผู้ควบคุมการแต่งองค์พระ เมื่อแล้วเสร็จเชิญลงเรือมณฑปแห่ไปประดิษฐานเป็นพระประธานในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร เมื่อวันที่ ๑๓ ธันวาคมพ.ศ. ๒๔๔๔ และโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานสมโภช ในวันที่ ๕ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๕๓

พระฝาง

พระฝาง เป็นพระพุทธรูปกะไหล่ทอง ปางมารวิชัยทรงมงกุฎ และเครื่องราชาภรณ์อย่างพระมหากษัตริย์ ฝีมือช่างอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากวิหารหลวง (วัดสวางค์) เมืองฝาง หรือสวางคบุรี จังหวัดอุตรดิตถ์ ลงมาประดิษฐานไว้ที่บุษบก มุขหน้า ชั้นบน ของพระวิหารสมเด็จ

จิตรกรรมภายในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

ประติมากรรมสำคัญภายในวัด

ยักษ์วัดโพธิ์

ฤาษีดัดตน

สถานที่สำคัญภายในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

เจ้าอาวาสวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

ข้อมูลวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

ชื่อวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามราชวรวิหาร
ประเภทพระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร (วัดหลวง)
นิกายเถรวาท มหานิกาย
ที่ตั้งเลขที่ 69 ถนนพระรามที่ 5 แขวงดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
โทรศัพท์(+66)2-226-0335
เว็บไซต์

ข้อมูลท่องเที่ยว วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพมหานคร

พิกัดที่ตั้ง วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จ.กรุงเทพมหานคร

การเดินทางเพื่อสักการะ และท่องเที่ยววัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

รถโดยสารสาธารณะ สามารถใช้บริการรถโดยสารสาธารณะสาย 1, สาย 3, สาย 6, สาย 9, สาย 12, สาย 25, สาย 32, สาย 44, สาย 47, สาย 48, สาย 53, สาย 82 และ รถประจำทางปรับอากาศ สาย ปอ.1, สาย ปอ.พ.4, สาย ปอ.507, สาย ปอ.508, สาย ปอ.12, สาย ปอ.44 และสาย ปอ.48 ลงป้ายวัดโพธิ์ (รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่: http://www.bmta.co.th)
เรือ สามารถเดินทางโดยเรือด่วนเจ้าพระยา เลือกขึ้นฝั่งได้ที่ ท่าเรือท่าเตียน จากนั้นเดินไปอีกประมาณ 5 นาทีจะถึงวัด สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ http://www.chaophrayaexpressboat.com
***แนะนำการเดินทาง : แท็กซี่มิเตอร์ เป็นการเดินทางที่สะดวกสบายและได้รับความนิยมอย่างมาก โดยมีอัตราค่าบริการเริ่มต้นที่ 35 บาท และเพิ่มค่าโดยสารกิโลเมตรละ 5.50 บาทในระยะ 1-10 กิโลเมตรแรก สามารถดูรายละเอียดอัตราค่าบริการเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/2laovLG

อัตราค่าเข้าชม

เข้าชม ฟรีสำหรับชาวไทย และเสียค่าธรรมเนียม 100 บาทสำหรับชาวต่างชาติ

การแต่งกาย

นักท่องเที่ยวควรแต่งกายให้สุภาพ สวมเสื้อมีแขน สวมกระโปรงหรือกางเกงขายาว และไม่สวมเสื้อผ้าที่รัดรูปจนเกินไป

เวลาเปิด-ปิดสำหรับไปไหว้พระ

เปิดทุกวัน ตั้งแต่เวลา 8.30 น. – 17.30 น.


ที่มาข้อมูลและรูปภาพ:

  • เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th.wikipedia.org)
  • เว็บไซต์มิวเซียมสยาม (museumsiam.org)
  • เว็บไซต์มิวเซียมไทยแลนด์ (museumthailand.com)
  • เว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)

Shares:
ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *