คนไทยรู้หรือไม่ว่า พระสยามเทวาธิราช ไม่ได้มีองค์เดียว
เรื่องราวของ “พระสยามเทวาธิราช” กับเรื่องราวที่ชาวไทยควรทราบ ไทยน่ารู้กำลังให้ความรุ้ที่เป็นประเด็นความสนใจของประชาชนคนไทยเป็นจำนวนมาก โดยองค์พระสยามเทวาธิราชนั้นเปรียบเสมือนเทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ ผู้คุ้มครองประเทศไทยให้รอดพ้นวิกฤติการณ์ต่างๆ ในอดีตมาได้หลายต่อหลายครั้ง
ไทยน่ารู้ขอพาไปทำความรู้จักกับองค์พระสยามเทวาธิราช เทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และได้ทราบเกร็ดประวัติที่น่าสนใจเกี่ยวกับองค์พระสยามเทวาธิราชที่บุคคลบางกลุ่มพยายามทำให้เข้าใจผิดๆเกี่ยวกับพระสยามเทวาธิราช
พระสยามเทวาธิราช เป็นเทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ
พระสยามเทวาธิราช เป็นเทวรูปของเทวดาผู้ปกป้องคุ้มครองสยามประเทศให้รอดพ้นจากอันตราย สิ่งศักดิ์สิทธ์คู่บ้านคู่เมืองมาตั้งแต่สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น
คำจำกัดความของสำนักงานราชบัณฑิตยสภา คำว่า เทพารักษ์ ประกอบด้วยคำว่า เทพ กับ อารักษ์. เทพ หรือ เทว (อ่านว่า เท-วะ) คือ เทวดา อารักษ์ แปลว่า ผู้รักษา. เทพารักษ์ จึงแปลว่า เทวดาผู้ปกปักรักษา เทวดา ผู้คุ้มครอง เป็นคำที่ใช้เรียกเทวดาที่ไม่ได้อยู่บนสวรรค์ แต่อยู่ตามป่าเขาลำเนาไพร ตามต้นไม้ใหญ่ ๆ ตามบ้านเรือนหรือตามท้องที่ต่าง ๆ. เทพารักษ์อาจมีชื่อต่าง ๆ เช่น รุกขเทวา คือ เทวดาที่อยู่ตามต้นไม้ใหญ่ เทพารักษ์หลักเมือง คือ เทวดาที่อยู่ ณ หลักเมือง ซึ่งมักจะมีศาล เรียกว่า ศาลหลักเมือง. เทวดาที่อยู่ประจำในที่อื่น ๆ มีชื่อเรียกต่าง ๆ กันไป เช่น อยู่ในป่า เรียก เจ้าป่า. อยู่บนเขา เรียก เจ้าเขา. อยู่ตามที่ต่าง ๆ เรียก เจ้าที่หรือพระภูมิ. เทพารักษ์ทั้งหลายนี้ปรกติก็อยู่เฉย ๆ ไม่ได้ให้คุณให้โทษแก่ใคร แต่จะดูแลถิ่นที่อยู่ไม่ให้ใครไปรบกวน และจะคอยดูแลไม่ให้ใครทำสิ่งที่ไม่ดีหรือแสดงอาการลบหลู่ เช่นทำสกปรกในที่ของท่าน เป็นต้น ซึ่งท่านอาจจะลงโทษให้เจ็บไข้ได้ คนจึงต้องขออนุญาตด้วยการบอกกล่าวหรือนำเครื่องสังเวยไปให้. เมื่อท่านพอใจท่านก็อาจจะให้คุณ อำนวยความสะดวกในการเดินทาง
พระสยามเทวาธิราช มีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4
พระสยามเทวาธิราช สร้างขึ้นในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ซึ่งเป็นช่วงที่เหล่าประเทศมหาอำนาจตะวันตกออกล่าอาณานิคมในซีกโลกตะวันออก โดยสยามประเทศก็เป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของอังกฤษและฝรั่งเศสที่เป็นกลุ่มนักล่าอาณานิคมเหล่านั้นด้วย โดยเฉพาะอังกฤษและฝรั่งเศส พยายามหาทางยึดครองสยามเพื่อประโยชน์ต่างๆที่จะได้รับ แต่เมื่อถึงช่วงเวลาวิกฤติก็เกิดเหตุพลิกผันที่ทำให้ประเทศไทยหรือสยามในขณะนั้น ผ่านพ้นวิกฤติอันเลวร้ายต่างๆเหล่านั้นไปได้อย่างอัศจรรย์ รัชกาลที่ 4 ทรงคำนึงว่า น่าจะมีเทพยดาคอยพิทักษ์รักษาประเทศไทยอยู่ก็ได้ สมควรจะสร้างรูปสมมุติของเทพยดาองค์นั้นขึ้นเพื่อเป็นการถวายการสักการะบูชา
พระสยามเทวาธิราช มี 2 องค์
พระสยามเทวาธิราช สร้างขึ้นสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 โดยพระองค์ทรงมีพระราชดำริว่า เมืองไทยมีเหตุการณ์ที่เกือบจะต้องเสียอิสรภาพมาหลายครั้ง แต่เผอิญให้มีเหตุรอดพ้นมาได้เสมอ ชะรอยจะมีเทพยดาองค์ใดองค์หนึ่งคอยพิทักษ์รักษาอยู่ สมควรจะทำรูปเทพพระองค์นั้นขึ้นไว้สักการบูชา จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการทรงปั้นรูปเทพองค์นั้นแล้วหล่อขึ้น ถวายนามว่า พระสยามเทวาธิราช
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้สร้างพระสยามเทวาธิราชขึ้นอีกองค์ “ให้มีพระพักตร์เสมือนพระบรมราชชนก รัชกาลที่ 4 โดยทรงเครื่องกษัตริยาธิราช พระหัตถ์ขวาทรงพระแสงขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายจีบเสมอพระอุระ เหมือนกับองค์พระสยามเทวาธิราชองค์เดิม ประดิษฐานในซุ้มเรือนแก้วแบบเก๋งจีน ทำด้วยไม้จันทน์จำหลักลงรักปิดทอง มีฉัตรทอง 5 ชั้น ตั้งอยู่ 2 ข้าง มีพระป้ายเขียนพระนามแบบจีน
ในราชกิจจานุเบกษา ประกาศ ณ วันที่ 17 มีนาคม รัตนโกสินทรศก 125 ได้เผยแพร่เรื่อง การเชิญพระบรมรูปและพระป้าย พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โดยว่า “พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ ๕) ทรงพระอนุสรคำนึงถึง พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพราะในเวลาที่เสด็จมาประทับอยู่ วังสวนดุสิต ยังไม่มีสิ่งที่จะเป็นที่ทรงนมัสการ รลึกถึงพระเดชพระคุณ จึงทรงพระดำริห์ว่า พระป้ายพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว อันประดิษฐานอยู่ที่พระที่นั่งมหิศรปราสาท ในพระบรมมหาราชวังนั้น ควรจะเชิญมาประดิษฐานไว้ที่พระที่นั่งอัมพรสถาน เพื่อจะได้ทรงนมัสการ สักการะบูชาสืบไป จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงวังจัดการเชิญพระป้าย มีพระบรมรูปทรงเครื่องทองคำ”
พระราชพิธีบวงสรวงใหญ่ พระสยามเทวาธิราช
พระราชพิธีบวงสรวงใหญ่ “พระสยามเทวาธิราช” ตามประเพณีกำหนดไว้ในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 5 ของทุกปี อันเป็นวันขึ้นปีใหม่ตามจันทรคติแบบโบราณ ส่วนเครื่องสังเวยที่ใช้บูชาพระสยามเทวาธิราชตามประเพณีโบราณที่ปฏิบัติสืบต่อกันมานั้นประกอบด้วย หัวหมู เป็ด ไก่ เมี่ยงส้ม ทองหยิบ ฝอยทอง ส้มเขียวหวาน องุ่น มะตูมเชื่อม มะพร้าวอ่อน กล้วย หอมจันทร์ ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว ผลทับทิม และเทียนเงิน เทียนทอง
ส่วน “พระราชพิธีสังเวยพระป้าย” นั้นเริ่มมีมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 5 กำหนดการแต่เดิมจะสังเวยที่พระที่นั่งเวหาศน์จำรูญก่อน 1 วัน ซึ่งตรงกับวันไหว้ของจีน ส่วนที่พระที่นั่งอัมพรสถาน จะสังเวยในวันขึ้น 1 ค่ำ เดือน 1 ของจีน ซึ่งเป็นวันตรุษจีน เครื่องสังเวยจะเป็นเครื่องคู่ ประกอบด้วย หัวหมู เป็ด ไก่ ขนมเข่ง ขนมเปี๊ยะ ซาลาเปา ผลไม้ กระดาษเงิน กระดาษทอง วิมานเทวดาทำด้วยกระดาษผ้าสีชมพู ประทัด ดอกไม้ ธูป เทียนเงิน เทียนทอง
ภาษาจีนเบื้องหลังองค์พระสยามเทวาธิราช
พระสยามเทวาธิราช ที่ประดิษฐานในพระวิมาน พระที่นั่งไพศาลทักษิณ ปรากฏคำจารึกอักษรจีนที่ผนังเบื้องหลังว่า 暹國顯靈神位敬奉 ซึงมีความหมายว่า “ที่สถิตแห่งพระสยามเทวาธิราช” หรือแปลให้เข้าใจง่ายขึ้น ก็คือ ที่สถิตของเทวดาประจำเมืองสยาม
ขอย้อนไปสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 พระมารดาขององค์เป็นคนจีนพระนามว่า หยก สายพระโลหิต ครึ่งนึง จึงเป็นจีน รัชกาลที่ 1 ท่านสมรสกับคุณนาก คุณนากท่านมีเชื้อสายจีนเป็นลูกครึ่งจีนจากอัมพวา
พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ 2 สมรสกับเจ้าฟ้าหญิงบุญรอด โอรสของรัชกาลที่ 1 ซึ่งแต่งงานกับคหบดีชาวจีน จึงนับว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงมีเชื้อสายจีนครึ่งนึง พิธีกรรมทางจีนเริ่มมีตั้งแต่สมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 ซึ่งพระองค์ท่านมีพระปรีชาทางการค้าโดยเฉพาะการค้ากับชาวจีน จึงได้รับของสดถวายในวันตรุษปีใหม่เป็นเป็ด ไก่ หมู จึงโปรดให้ทำบุญเลี้ยงพระคราวละมากๆ รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเมื่อจะทำพิธีอย่างจีนแล้ว ก็สมควรทำให้ถูกต้องและเหมาะสม จึงโปรดฯ ให้ทำโต๊ะหมู่บูชาประกอบพิธีแบบจีน เป็นที่มาของการรวมธรรมเนียมต่างๆ
สมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ชาวจีนเข้ามาค้าขายจำนวนมาก ขุนนางในวังที่มีเชื้อสายจีนก็จัดเลี้ยงโต๊ะจีนถวาย ประกอบกับกับรัชกาลที่ 5 ทรงระลึกถึงพระบรมราชชนก (รัชกาลที่ 4) จึงโปรดฯ ให้สร้างโต๊ะหมู่บูชาแบบจีน เพื่อสืบพระราชพิธีแต้มป้ายและสังเวยป้ายเหมือนเมื่อครั้งสมัยพระพบรมราชชนก รัชกาลที่ 4 ทรงยึดถือปฏิบัติ จนกลายเป็นประเพณีสืบมา
พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ ทรงออกแบบพระสยามเทวาธิราช
พระองค์เจ้าประดิษฐ์วรการ เมื่อครั้งดำรงพระยศเป็นหม่อมเจ้า รับราชการในกรมช่างสิบหมู่ ได้เป็นนายช่างเอกออกแบบเทพยดาองค์นั้นขึ้น มีลักษณะเป็นเทวรูปยืน ทรงเครื่องต้น พระหัตถ์ขวาทรงพระขรรค์ พระหัตถ์ซ้ายยกเสมอพระอุระในท่าประทานพร มีขนาดสูง 8 นิ้ว หรือ 20 เซนติเมตร เมื่อได้สัดส่วนงดงามเป็นที่พอพระราชหฤทัยแล้ว จึงโปรดเกล้าฯให้หล่อขึ้นด้วยทองคำทั้งองค์ ถวายพระนามว่า “พระสยามเทวาธิราช” องค์พระประดิษฐานอยู่ในเรือนแก้วทำด้วยไม้จันทน์ ลักษณะแบบวิมานเก๋งจีน มีคำจารึกเป็นภาษาจีนที่ผนังเบื้องหลัง แปลว่า “ที่สถิตแห่งพระสยามเทวาธิราช”
พระสยามเทวาธิราช ประดิษฐานที่พระที่นั่งไพศาลทักษิณ พระบรมมหาราชวัง
เดิมเมื่อแรกสร้าง ได้อัญเชิญพระสยามเทวาธิราชไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งทรงธรรมในหมู่พระพุทธมหามณเฑียรในพระบรมมหาราชวัง แต่ต่อมาในสมัยรัชกาลที่ 5 โปรดเกล้าฯ ให้รื้อหมู่พระที่นั่งพุทธมหามณเฑียร รวมทั้งพระที่นั่งทรงธรรม จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระสยามเทวาธิราชไปประดิษฐาน ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ มาจนทุกวันนี้ โดยประดิษฐานอยู่เหนือลับแลบังพระทวารเทวราชมเหศวร์ ตอนกลางพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ในพระบรมมหาราชวัง
ครั้งแรกที่คนไทยได้ถวายสักการะพระสยามเทวาธิราช
ไม่บ่อยครั้งนักที่ประชาชนทั่วไปจะได้มีโอกาสกราบไหว้พระสยามเทวาธิราชอย่างใกล้ชิด โดยในปี 2525 ครบรอบการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ 200 ปี รัชกาลที่ 9 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เชิญพระสยามเทวาธิราชจากพระวิมานในพระที่นั่งไพศาลทักษิณ ขึ้นเสลี่ยงโดยประทับบนพานทอง 2 ชั้น สู่พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ประดิษฐาน ณ บุษบกมุขเด็จ เพื่อทรงประกอบพระราชพิธีบวงสรวง และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สาธุชนเข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชหลังเสด็จฯ กลับ นับเป็นครั้งแรกที่ประชาชนมีโอกาสได้เข้าถวายสักการะพระสยามเทวาธิราชเฉพาะพระพักตร์
คำถามเรื่อง พระสยามเทวาธราช
ที่มาข้อมูลและรูปภาพ:
- เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th.wikipedia.org)
- เว็บไซต์คณะกรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์งานพระราชพิธีบรมราชาภิเษก (phralan.in.th)
- เว็บไซต์สำนักงานราชบัณฑิตยสภา (legacy.orst.go.th)