คนไทยรู้หรือไม่ว่า การปกครองระบอบประชาธิปไตย พระประสงค์ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 สู่ปฐมบทแห่งการสร้างประชาธิปไตย สมัยรัชกาลที่ 5
เรื่องราวของ “พระมหากษัตริย์ไทยทรงวางรากฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตย ไม่ใช่คณะราษฎร” กับเรื่องราวที่ชาวไทยควรทราบ ไทยน่ารู้ให้ความรู้เพิ่มเติมที่เป็นประเด็นความสนใจของประชาชนคนไทยเป็นจำนวนมาก โดยให้ชาวไทยทราบถึงเรื่องการปกครองระบอบประชาธิปไตยว่าเป็น พระประสงค์ของพระมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4
ไทยน่ารู้ขอพาไปทำความรู้จักกับองค์พระสยามเทวาธิราช เทพยดาผู้สิงสถิตรักษาสยามประเทศ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และได้ทราบเกร็ดประวัติที่น่าสนใจเกี่ยวกับองค์พระสยามเทวาธิราชที่บุคคลบางกลุ่มพยายามทำให้เข้าใจผิดๆเกี่ยวกับพระสยามเทวาธิราช
รากฐานประชาธิปไตย สมัยรัชกาลที่ 4
จุดเริ่มต้นแนวคิดประชาธิปไตย
จากเอกสารชั้นต้นในหอจดหมายเหตุแห่งชาติ มีหลักฐานยืนยันว่า ร่องรอยความรู้ของสยามเกี่ยวกับการปกครอบระบอบเสรีนิยมประชาธิปไตยนั้น มีมาตั้งแต่สมัย ร.4
ในรัชสมัยพระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ที่สยามยังใช้ระบบไพร่ทาสในการจัดระเบียบสังคม แม้ผู้คนทั่วไปจะยังไม่มีส่วนร่วมในการตัดสินใจทางการเมือง แต่ก็ไม่ถูกต้องเสียทีเดียวถ้าจะด่วนสรุปว่า รูปแบบการปกครองที่ยังไม่เป็นประชาธิปไตย จะไม่มีการรับรู้เกี่ยวกับการเลือกตั้งในสังคม
มีหลักฐานระบุว่า ในหลวง รัชกาลที่ 4 ทรงมีความเข้าใจเรื่องการเลือกตั้งที่ดีพอสมควร จากการที่สยามเริ่มเปิดรับวัฒนธรรมตะวันตกมาตั้งแต่ช่วงต้นกรุงรัตนโกสินทร์ จากบันทึกของ Townsend Harris นักการทูตชาวอเมริกัน ที่เดินทางมาเจรจาสนธิสัญญากับราชสำนักสยาม เมื่อวันที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2399 เขาได้เข้าเฝ้าฯ ในหลวง ร.4 เป็นการส่วนพระองค์พร้อมคณะ หลังการดื่มอวยพรให้แก่ประธานาธิบดี Franklin Pierce ของสหรัฐอเมริกาแล้ว ในหลวง ร.4 ทรงถามแฮร์ริสว่า …
“การเลือกตั้งประธานาธิบดีครั้งต่อไปจะมีขึ้นเมื่อไหร่ [และ] เมื่อใดที่ประธานาธิบดีคนใหม่จะสาบานตนเข้ารับตำแหน่ง”
พระบามสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
คำถามเปิดบทสนทนานี้ เผยให้เห็นความรู้เบื้องต้นของพระองค์เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกา ซึ่งน่าจะทรงได้รับการถ่ายทอดมาจากพวกหมอสอนศาสนาชาวอเมริกันที่ทรงคบหาฉันท์มิตรสหายอย่าง Dan Beach Bradley และ Jesse Caswell ร่องรอยความคิดเกี่ยวกับการเลือกตั้ง เริ่มปรากฏชัดขึ้นในปี พ.ศ. 2401 เมื่อขุนนางผู้ทำหน้าที่ทางตุลาการในตำแหน่ง “พระมหาราชครูปโรหิตาจารย์” กับ “พระมหาราชครูมหิธร” เสียชีวิตลง ในหลวง ร.4 ทรงเกิดความคิดที่จะนำการเลือกตั้งมาใช้หาตัวบุคคลที่สมควรดำรงตำแหน่งแทนเป็นกรณีพิเศษ จากเดิมที่แค่ทรงหารือเจ้านายกับเสนาบดี 5-6 คนแล้วทรงตัดสินพระทัยแต่งตั้งเลย
รากฐานประชาธิปไตย สมัยรัชกาลที่ 5
ปฐมบทแห่งการสร้างประชาธิปไตย สมัยรัชกาลที่ 5
รัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นห้วงเวลาที่ประเทศไทยหรือสยามในขณะนั้นปกครองด้วยระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absolute Monarchy) โดยพระมหากษัตริย์เป็นผู้มีอำนาจสูงสุดและเด็ดขาดเพียงผู้เดียว ซึ่งพระองค์ทรงตระหนักดีว่า ระบอบการปกครองแบบเดิมที่เป็นอยู่นี้นับวันจะล้าสมัย จำเป็น ที่จะต้องดำเนินการจัดการปกครองประเทศเสียใหม่ เพื่อให้สอดคล้องสภาพการณ์ของสังคมไทยและกระแสการปกครองระบอบประชาธิปไตยที่แผ่ขยายไปทั่วโลกในขณะนั้น
อย่างไรก็ตาม พระองค์ทรงเห็นว่าประชาชนชาวไทยยังมีความรู้ความเข้าใจในการปกครองระบอบประชาธิปไตยและมีความสนใจในการปกครองบ้านเมืองไม่มากพอ จึงทรงดำเนินรัฐประศาสโนบายเพื่อเป็นการปูพื้นฐานการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างค่อยเป็นค่อยไป ที่สำคัญ ได้แก่ โปรดเกล้าฯ ให้ตั้ง Privy Council ทำหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาราชการในพระองค์ และ Council of State ทำหน้าที่เป็นคณะที่ปรึกษาราชการต่าง ๆ ที่เป็นเรื่องประโยชน์ต่อบ้านเมือง ทรงส่งพระบรมวงศานุวงศ์หรือพระราชทานทุนให้เด็กไทยไปศึกษายังประเทศที่มีการปกครองระบอบประชาธิปไตยในตะวันตก ทรงขยายโอกาสทางการศึกษา ประกาศเลิกทาส รวมทั้งปฏิรูปการบริหารราชการแผ่นดินในส่วนกลาง และกระจายอำนาจการบริหารปกครองให้ประชาชนมีโอกาสเข้ามามีส่วนร่วมในการปกครองตนเองมากขึ้น โดยเฉพาะริเริ่มให้จัดตั้งสุขาภิบาลเป็นรูปแบบการปกครองท้องถิ่นขึ้นเป็นครั้งแรก เพื่อปูพื้นฐานประชาธิปไตยเบื้องต้นแก่ประชาชน
ด้วยพระราชดำริอันแน่วแน่ที่ พระองค์ประสงค์จะให้ประเทศไทยมีการปกครองระบอบประชาธิปไตย จึงโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จกรมพระยาเทววงศ์วโรปการ ประธานเสนาบดีสภาขณะนั้น ทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญขึ้นฉบับหนึ่งจนแล้วเสร็จเพื่อพระราชทานแก่ประชาชน อย่างไรก็ตาม ทรงมีพระราชดำริว่าจะเป็นการเหมาะสมกว่าถ้าพระราชโอรสของพระองค์ (พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6) เป็นผู้พระราชทาน ดังพระราชดำรัสตอนหนึ่งในปลายรัชสมัยว่า
ฉันจะให้ลูกวชิราวุธมอบของขวัญให้แก่พลเมืองในทันที่ที่ขึ้นสู่ราชบัลลังก์ในขณะสืบตำแหน่งพระมหากษัตริย์ กล่าวคือ ฉันจะให้เขาให้ปาลิเมนต์และคอนสติติวชั่น
พระราชดำรัส พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5
รากฐานประชาธิปไตย สมัยรัชกาลที่ 6
การปลูกฝังแนวคิดประชาธิปไตย
เมืองดุสิตธานี เมืองสมมุติประชาธิปไตยขนาดย่อส่วนในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ที่พระองค์ทรงพระราชดำริเกี่ยวกับการปกครองแบบประชาธิปไตย มาครั้งแต่ที่พระองค์ทรงดำรงพระอิสริยยศเป็นสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร กว่าจะมีดุสิตธานีนั้น พระองค์ทรงเรียนรู้เกี่ยวกับระบอบประชาธิปไตยผ่านการทดลองการปกครองสมมุติหลากหลายรูปแบบโดยเริ่มต้นจากการปกครองแบบ The New Republic หรือ สาธารณรัฐใหม่ เป็นการปกครองสมมุติแรกเริ่ม ไม่มีอาคารสถานที่มีแต่บุคคล ทรงร่วมกลุ่มกับพระสหายเป็นบทบาทสมมุติในการทำกิจกรรมทางการเมืองที่ประกอบด้วยรัฐมนตรีกระทรวงต่างๆ และมีการออกหนังสือเช่นเดียวกับราชกิจจานุเบกษา มีการแบ่งพรรคการเมืองเป็น 2 พรรค คือพรรคสาธารณรัฐ กับพรรคนิยมกษัตริย์ ทั้งนี้คณะปกครอง The New Republic มีช่วงเวลาเพียงแค่ 41 วันเท่านั้น
เมืองดุสิตธานีที่ พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 6 ทรงศึกษาและทดลองใช้ระบอบการปกครองหลายรูปแบบ เพื่อให้ประชาชนชาวไทยมีความรู้และความเข้าใจ มีพื้นฐานและแนวทางในการดำเนินการจัดการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ทุกแนวทางล้วนสะท้อนให้เห็นถึงพระอัจฉริยภาพความเป็นนักปราชญ์ของพระองค์ได้เป็นอย่างดียิ่ง
รากฐานประชาธิปไตย สมัยรัชกาลที่ 7
การเปลี่ยนผ่านสู่ระบอบประชาธิปไตย ที่คนไทยยังไม่พร้อม
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวมีพระราชประสงค์ และจุดมุ่งหมายให้มีการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบอบประชาธิปไตย คือการให้อำนาจปกครองตนเองแก่ประชาชนมากขึ้น แต่หลังจากเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองก็เกิดความวุ่นวายภายในประเทศกอปรกับพระสุขภาพอนามัยมิได้แข็งแรง ประชวรพระโรคต้อกระจก จึงตัดสินพระราชหฤทัย เสด็จฯ ประพาสยุโรปเพื่อทอดพระเนตรการพัฒนาด้านต่างๆ และทรงรับการผ่าตัดพระเนตรที่ประเทศอังกฤษ
เนื่องด้วยพระราชดำริที่ไม่ตรงกันกับรัฐบาลคณะราษฎรหลายประการและทรงพิจารณาแล้วว่าไม่สามารถประสานกับรัฐบาลเพื่อให้บรรลุประโยชน์แก่ปวงชนส่วนรวมได้ จึงทรงตัดสินพระราชหฤทัยสละราชสมบัติ ขณะประทับพักฟื้นพระวรกายที่พระตำหนักโนล เมืองแครนลี มณฑลเซอร์เรย์ กรุงลอนดอน เมื่อวันที่ 2 มีนาคม 2477 เวลา 13.45 น. ซึ่งเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศ ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับพระราชหัตถเลขาของพระองค์ไว้ในฐานะผู้แทนรัฐบาล โดยความตอนหนึ่งในพระราชหัตถเลขาสละราชสมบัติ มีใจความว่า
“…ข้าพเจ้าเต็มใจที่จะสละอำนาจอันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรโดยทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใด คณะใด โดยเฉพาะเพื่อใช้อำนาจนั้นโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาราษฎร
บัดนี้ข้าพเจ้าเห็นว่าความประสงค์ของข้าพเจ้าที่จะให้ราษฎรมีสิทธิ์ออกเสียงในนโยบายของประเทศโดยแท้จริงไม่เป็นผลสำเร็จ และเมื่อข้าพเจ้ารู้สึกว่าบัดนี้เป็นอันหมดหนทางที่ข้าพเจ้าจะช่วยเหลือหรือให้ความคุ้มครองแก่ประชาชนได้ต่อไปแล้ว ข้าพเจ้าจึงขอสละราชสมบัติและออกจากตำแหน่งพระมหากษัตริย์ แต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าขอสละสิทธิของข้าพเจ้าทั้งปวง ซึ่งเป็นของข้าพเจ้าในฐานที่เป็นพระมหากษัตริย์ แต่ข้าพเจ้าสงวนไว้ซึ่งสิทธิทั้งปวงอันเป็นของข้าพเจ้าแต่เดิมมาก่อนที่ข้าพเจ้าได้รับราชสมบัติสืบสันตติวงศ์…”
ความในพระราชหัตถเลขาแสดงให้เห็นว่า พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 7 มีพระราชประสงค์จำนงหมายที่จะให้ประเทศไทย มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อีกทั้งพระราชหฤทัยสำนึกตระหนักในพระราชธรรมจรรยาของพระมหากษัตริย์สยามที่จะต้องปกป้องคุ้มครองประชาชน แต่บัดนั้นพระองค์เองไม่อาจทำได้สำเร็จ เพราะเมื่อมีรัฐธรรมนูญแล้ว อำนาจการปกครองมิได้อยู่ในพระหัตถ์อีกต่อไป แม้ได้ทรงขอให้ผู้มีอำนาจทำการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญให้เข้ารูปประชาธิปไตยอันแท้จริง เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพ ทั้งนี้ ในการที่ทรงปลีกพระองค์ออกจากราชบัลลังก์ ได้ตอกย้ำหลักการของเสรีภาพในตัวบุคคล หลักความยุติธรรม และทรงเสียสละเพื่อทรงรักษาไว้ซึ่งที่สถาบันพระมหากษัตริย์จักได้คงอยู่
ถือเป็นอีกหนึ่งเอกสารที่สำคัญที่สุดในประวัติศาสตร์ด้านการเมืองการปกครองของประเทศไทย ซึ่งพระองค์ทรงกำชับให้รัฐบาลนำออกประกาศแก่ประชาชนโดยเปิดเผยเพื่อให้ทราบโดยทั่วกัน เสมือนหนึ่งทรงอำลาประชาชนชาวไทย
ที่มาข้อมูลและรูปภาพ:
- เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th.wikipedia.org)
- เว็บไซต์พิพิธภัณฑ์รัฐสภา (parliamentmuseum.go.th/)
- เว็บไซต์กรมศิลปากร. กระทรวงวัฒนธรรม (finearts.go.th)
- เว็บไซต์ฤา (luehistory.com)