พระปรมาภิไธย พระนามของพระมหากษัตริย์ไทย สมัยรัตนโกสินทร์
พระปรมาภิไธย (พระ+ปรม+อภิไธย แปลว่า ชื่ออันประเสริฐยิ่ง) หมายถึง พระนามของพระมหากษัตริย์ราชเจ้า ตามที่จารึกในพระสุพรรณบัฏ หลังจากที่ได้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกแล้ว ซึ่งเกิดขึ้นเป็นครั้งแรกในสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก (รัชกาลที่ ๑) และใช้มาจนถึงพระมหากษัตริย์พระองค์ปัจจุบัน
แบบแผนพระปรมาภิไธยเดิมที่เคยใช้ในอดีต
แต่เดิมนั้นพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๓ นั้น ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยของพระองค์เองโดยขึ้นต้นว่า “สมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี” และมีสร้อยพระนามเหมือนกันทั้ง ๓ รัชกาล ราษฎรจึงต้องสมมตินามแผ่นดินเอาเองเมื่อกล่าวถึงพระมหากษัตริย์แต่ละรัชกาล ในสมัยรัชกาลที่ ๓ ราษฎรได้เรียกนามแผ่นดินรัชกาลที่ ๑ ว่า “แผ่นดินต้น” รัชกาลที่ ๒ ว่า “แผ่นดินกลาง” รัชกาลที่ ๓ ว่า “แผ่นดินนี้” ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ ๓ ไม่ทรงโปรดการออกนามแผ่นดินดังกล่าว เนื่องจากทรงเกรงว่าต่อไปราษฎรจะเรียกรัชกาลของพระองค์ว่า “แผ่นดินปลาย” หรือ “แผ่นดินสุดท้าย” อันเป็นอัปมงคล จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างพระพุทธรูปฉลองพระองค์พระมหากษัตริย์สองรัชกาลแรก ประดิษฐานไว้ในพระอุโบสถวัดพระศรีรัตนศาสดาราม องค์หนึ่งถวายพระนามว่า “พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก” อุทิศถวายสมเด็จพระบรมอัยกาธิราชรัชกาลที่ ๑ และอีกองค์หนึ่งถวายพระนามว่า “พระพุทธเลิศหล้าสุราไลย” (ต่อมารัชกาลที่ ๔ โปรดเกล้าฯ ถวายสร้อยพระนามใหม่ว่า “พระพุทธเลิศหล้านภาไลย”) อุทิศถวายสมเด็จพระบรมชนกนาถรัชกาลที่ ๒ และโปรดเกล้าฯ ให้เรียกนามแผ่นดินของพระมหากษัตริย์ทั้งสองรัชกาลตามนามพระพุทธรูปทั้งสององค์นี้
การเปลี่ยนแปลงธรรมเนียม และพระนาม “ปรมินทร-ปรเมนทร”
เมื่อพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๔ แห่งราชวงศ์จักรี ทรงมีพระราชดำริว่าพระนามของพระมหากษัตริย์สืบไปภายหน้าควรใช้แตกต่างกันทุกรัชกาล เพื่อไม่ให้เกิดความสับสนในการออกนามแผ่นดินเช่นที่เคยเกิดขึ้นมาแล้ว จึงทรงถวายพระนามแก่สมเด็จพระบูรพกษัตริย์รัชกาลก่อนหน้าพระองค์ทั้งสามรัชกาลดังนี้
รัชกาลที่ ๑: พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก
รัชกาลที่ ๒: พระบาทสมเด็จพระบรมราชพงษเชษฐ มเหศวรสุนทร ไตรเสวตรคชาดิศรมหาสวามินทร์ สยารัษฎินทรวโรดม บรมจักรพรรดิราช พิลาศธาดาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระพุทธเลิศหล้านภาไลย
รัชกาลที่ ๓: พระบาทสมเด็จพระปรมาธิวรเสรฐ มหาเจษฎาบดินทร สยามินทรวิโรดม บรมธรรมิกมหาราชาธิราช บรมนารถบพิตร พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว
นอกจากนี้ยังทรงกำหนดหลักการเฉลิมพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ตามลำดับรัชกาล โดยรัชกาลที่เป็นเลขคี่ให้ใช้คำว่า “ปรมินทร” รัชกาลเลขคู่ให้ใช้คำว่า “ปรเมนทร” เป็นเครื่องหมายสังเกต พระนามพระมหากษัตริย์ไทยตามหลักพระราชนิยมดังกล่าวตั้งแต่รัชกาลที่ ๔ เป็นต้นมามีดังนี้
รัชกาลที่ ๔: พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหามงกุฎ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๕: ในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๑ เมื่อ พ.ศ. ๒๔ง๑๑เฉลิมพระปรมาภิไธยว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุฬาลงกรณ์เกล้าเจ้าอยู่หัว” ต่อมาเมื่อทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๖ ได้ทรงเฉลิมพระปรมาภิไธยใหม่ว่า พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาจุฬาลงกรณ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๖: พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๗: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
รัชกาลที่ ๘: พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล ทั้งนี้ ทรงได้รับการเฉลิมพระปรมาภิไธยภายหลังการเสด็จสวรรคตเมื่อ พ.ศ. ๒๔๘๙ ต่อมาได้เฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างวิเศษและถวายสร้อยพระนามเพื่มเติมว่า “พระอัฐมรามาธิบดินทร” เมื่อ พ.ศ. ๒๕๓๘ (พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร)
รัชกาลที่ ๙: พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ภายหลังเมื่อพระองค์เสด็จสวรรคตในปี พ.ศ. ๒๕๕๙ เอกสารราชการได้กำหนดให้ออกพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช บรมนาถบพิตร“
พระนาม “รามาธิบดีศรีสินทร”
ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เฉลิมพระปรมาภิไธยพระมหากษัตริย์ในราชวงศ์จักรี โดยใช้คำนำหน้าพระนามว่า “รามาธิบดีศรีสินทร” ทุกรัชกาล เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๔๕๙ ดังนี้
รัชกาลที่ ๑: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑
รัชกาลที่ ๒: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาอิศรสุนทร พระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒
รัชกาลที่ ๓: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาเจษฏาธิบดินทร์ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓
รัชกาลที่ ๔: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหามงกุฏ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๔
รัชกาลที่ ๕: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจุฬาลงกรณ์ พระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๕
รัชกาลที่ ๖: พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ พระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๖
ส่วนในภาคภาษาอังกฤษนั้น โปรดเกล้าฯ ให้ใช้คำว่า “Rama” แล้วตามด้วยหมายเลขลำดับรัชกาลแบบเลขโรมันตามธรรมเนียมยุโรป
แต่เมื่อรัชกาลที่ ๗ เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระองค์ได้ทรงประกาศให้การใช้พระปรมาภิไธยของพระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์กลับไปเป็นตามแบบพระราชนิยมของรัชกาลที่ ๔ เช่นเดิม เว้นแต่พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ที่ยังคงใช้ว่าพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราวุธ และใช้มาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตาม การใช้คำว่า “Rama” ในภาคภาษาอังกฤษ แล้วตามด้วยหมายเลขลำดับรัชกาลเพื่อสื่อถึงพระมหากษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ ยังคงใช้สืบมาจนถึงปัจจุบัน
พระปรมาภิไธยย่อ
พระปรมาภิไธยย่อ คือ การย่อพระปรมาภิไธยให้เหลือเพียง 3 ตัวอักษร โดยส่วนมาก มักใช้เป็น ตราสัญลักษณ์ประจำพระองค์ และ ตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธี และงานเฉลิมพระเกียรติ ในวโรกาสสำคัญต่าง ๆ ดังนี้
New wpDataTable
ในกรณีที่อักษรย่อพระปรมาภิไธยของบางพระองค์ซ้ำกัน จะมีการระบุหมายเลขประจำรัชกาลกำกับข้างท้ายให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ซึ่งในตราอักษรย่อพระปรมาภิไธยประจำพระองค์โดยปกติจะระบุหมายเลขประจำรัชกาลไว้ที่ระหว่างกรรเจียกจรของพระมหาพิชัยมงกุฎ
อนึ่ง พระมหากษัตริย์บางพระองค์อาจทรงใช้อักษรพระปรมาภิไธยย่อมากกว่า ๑ แบบ เช่น รัชกาลที่ ๕ ทรงใช้พระปรมาภิไธยย่อ ส.พ.ป.ม.จ.๕ และ จ.จ.จ. เป็นต้น และแม้ดวงตราอักษรพระปรมาภิไธยย่อที่ใช้ตัวอักษรเดียวกันสำหรับพระมหากษัตริย์รัชกาลเดียวกัน ก็อาจมีการประดิษฐ์ดวงตราเพื่อใช้งานในหลากหลายรูปลักษณ์ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนขึ้นอยู่กับพระราชนิยมส่วนพระองค์
ตราพระปรมาภิไธยย่อ ม.ป.ร.๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ เป็นรูปปทุมอุณาโลม มีอักขระ “อุ” แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็น พฤกษชาติที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา ตราอุณาโลมมีรูปร่างคล้ายสังข์ทักษิณาวรรต (สังข์เวียนขวา) อยู่ในกรอบลายกนก เริ่มใช้คราวพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๘
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๒
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ เป็นรูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า “ฉิม” ตามความหมายของวรรณคดีไทย คือ พญาครุฑซึ่งในเทพนิยายเทวกำเนิด เป็นเทพองค์หนึ่งที่ทรงมหิทธานุภาพยิ่ง แต่ยอมเป็นเทพพาหนะสำหรับพระนารายณ์ ปกติอยู่ที่วิมานฉิมพลี ดังนั้นทรงพระกรุณาให้ใช้รูปครุฑยุดนาค เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระบรมนามาภิไธย
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๓
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๓ เป็นรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า “ทับ” หมายความว่า ที่อยู่ หรือเรือน ดังนั้นจึงทรงพระกรุณาโปรดกล้าฯ ให้สร้างรูปปราสาท เป็นพระราชสัญลักษณ์ประจำพระองค์ แทนพระบรมนามาภิไธย
หมายเหตุ : พระราชลัญจกรทั้ง ๓ องค์นี้เดิมเป็นเพียงพระราชสัญลักษณ์ที่ปรากฏในที่ต่างๆ เช่น เงินพดด้วง พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงสร้างพระราชลัญจกรเหล่านี้ขึ้นเพื่ออุทิศถวายพระมหากษัตริย์ทั้งสามพระองค์เมื่อ พ.ศ. ๒๔๒๕ ตราทั้งหมดเป็นตรากลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ๗ เซนติเมตร
ตราพระปรมาภิไธยย่อ ประจำรัชกาลที่ ๔
ตราพระปรมาภิไธยย่อ ม.ป.ร.๔ ในพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๔ องค์ที่ ๒
พระราชลัญจกรประจำพระองค์พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๔ องค์ที่ ๒ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระจุฑามณี
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๕
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระเกี้ยวยอด ลักษณะเป็นรูปพระจุลมงกุฎ (หรือพระเกี้ยว) เปล่งรัศมีประดิษฐ์บนพานแว่นฟ้า เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า “จุฬาลงกรณ์” ซึ่งแปลความหมายว่าเป็นศิราภรณ์ชนิดหนึ่งอย่างมงกุฎ มีฉัตรบริวารตั้งขนาบข้าง ที่ริมขอบทั้งสองข้างมีพานแว่นฟ้าและพระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรข้างหนึ่ง วางสมุดตำราข้างหนึ่ง พระแว่นสุริยกานต์หรือเพชรและสมุดตำรานั้น เป็นการเจริญรอยจำลองพระราชลัญจกรประจำพระองค์ พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ซึ่งเป็นสมเด็จพระบรมชนกนาถ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง ๕.๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๘ เซนติเมตร
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๖
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระวชิระ เป็นรูปวชิราวุธ เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐ์บนพานแว่นฟ้าตั้งอยู่เหนือตั่ง มีฉัตรกลีบบัวตั้งอยู่สองข้าง เป็นสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย “วชิราวุธ” ซึ่งหมายถึง สายฟ้าอันเป็นเทพศาสตราของพระอินทร์ องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง ๕.๕ เซนติเมตร ยาว ๖.๘ เซนติเมตร
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๗

พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ เรียกว่า พระราชลัญจกรพระแสงศร ลักษณะเป็นรูปพระแสงศร ๓ องค์ คือ พระแสงศรพรหมาสตร์ พระแสงศรประลัยวาต พระแสงศรอัคนีวาต อันเป็นเทพอาวุธของพระพรหม พระอิศวร และพระนารายณ์ตามลำดับ เหนือราวพาดพระแสงเป็นดวงตรามหาจักรีบรมราชวงศ์ภายใต้พระมหาพิชัยมงกุฎ เบื้องซ้ายและเบื้องขวาของราวพาดพระแสงตั้งบังแทรก สอดแทรกด้วยลายกนกอยู่บนพื้นตอนบนของดวงตรา พระแสงศร ๓ องค์นี้ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธยว่า “ประชาธิปกศักดิเดชน์” ซึ่งมาจากความหมายของศัพท์คำสุดท้ายของวรรคที่ว่า “เดชน์” แปลว่า ลูกศร องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรางากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง ๕.๔ เซนติเมตร ยาว ๖.๗ เซนติเมตร
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๘

พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล รัชกาลที่ ๘ ลักษณะเป็นรูปพระโพธิสัตว์ประทับบนบัลลังก์ดอกบัว ห้อยพระบาทขวาเหนือบัวบาน (ซึ่งดัดแปลงจากพระราชลัญจกรโพธิสัตว์สวนดุสิตในรัชกาลที่ ๕) หมายถึงแผ่นดิน พระหัตถ์ซ้ายถือดอกบัวตูม และมีเรือนแก้วด้านหลังแทนรัศมี มีแท่นรองรับตั้งฉัตรบริวารทั้งสองข้าง เป็นพระราชสัญลักษณ์ของบรมนามาภิไธยว่า “อานันทมหิดล” ซึ่งแปลความว่า เป็นที่ยินดีของแผ่นดิน เพราะพระองค์ได้เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ด้วยความยินดีของอเนกนิกรชาวไทย ประหนึ่งพระโพธิสัตว์เสด็จมาประทานความร่มเย็นเป็นสุขแก่ทวยราษฎร์ทั้งมวล องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลม เส้นผ่าศูนย์กลาง ๗ เซนติเมตร
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๙

พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร รัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ ประกอบด้วยวงจักร กลางวงจักรมีอักขระเป็น “อุ” หรือ “เลข ๙” รอบวงจักรมีรัศมีเปล่งออกโดยรอบ เหนือจักรเป็นรูปเศวตฉัตร ๗ ชั้น ฉัตรตั้งอยู่บนพระที่นั่งอัฐทิศ แปลความหมายว่า มีพระบรมเดชานุภาพในแผ่นดิน โดยที่วันบรมราชาภิเษก ตามโบราณราชประเพณี ได้เสด็จประทับเหนือพระที่นั่งอัฐทิศ สมาชิกรัฐสภาถวายน้ำอภิเษกจากทิศทั้ง ๘ นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ ที่พระมหากษัตริย์ในระบอบประชาธิปไตย ทรงรับน้ำอภิเษกจากสมาชิกรัฐสภา แทนที่จะรับจากราชบัณฑิตดั่งในรัชกาลก่อน องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรากลมรีรูปไข่แนวตั้ง กว้าง ๕ เซนติเมตร สูง ๖.๗ เซนติเมตร
พระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช องค์นี้ นอกจากจะใช้ประทับในเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชการแผ่นดินแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ และ ทรงพระราชทานนาม “ราชภัฏ” แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งหมายถึง “คนของพระราชา”
พระราชลัญจกรของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช องค์นี้ นอกจากจะใช้ประทับในเอกสารสำคัญส่วนพระองค์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับราชการแผ่นดินแล้ว ยังทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานตรานี้แก่สถาบันอุดมศึกษากลุ่มมหาวิทยาลัยราชภัฏ และ ทรงพระราชทานนาม “ราชภัฏ” แก่ มหาวิทยาลัยราชภัฏ ซึ่งหมายถึง “คนของพระราชา”
เมื่อวันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๕๓๕ และ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคล ใช้เป็นตราประจำมหาวิทยาลัยแต่ละแห่งในเครือของตน เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๑ และยังได้มีพระบรมราชานุญาตให้ใช้เป็นภาพประธานในตราสัญลักษณ์งานพระราชพิธีสำคัญต่างๆ ในรัขกาลของพระองค์ ได้แก่ พระราชพิธีรัชมังคลาภิเษก งานฉลองสิริราชสมบัติครบ ๕๐ ปี และงานพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษาครบ ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๕๕๐ อีกด้วย
พระราชลัญจกรประจำรัชกาลที่ ๑๐

พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๑๐ เป็นรูปวชิราวุธ หมายถึง สายฟ้าอันเป็นเทพศาสตราของพระอินทร์ มีแบบตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านบนมี พระเกี้ยว มีแบบตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แทนคำว่า “อลงกรณ์” ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย “มหาวชิราลงกรณ” เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า พร้อมด้วยฉัตรบริวาร องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรางากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.4 เซนติเมตร ยาว 6.7 เซนติเมต
พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว เป็นรูปวชิราวุธซึ่งหมายถึง สายฟ้าอันเป็นเทพศาสตราของพระอินทร์ มีแบบตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ด้านบนมี พระเกี้ยว มีแบบตามพระราชนิยมในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว แทนคำว่า “อลงกรณ์” ซึ่งแปลว่า เครื่องประดับ เป็นพระราชสัญลักษณ์ของพระบรมนามาภิไธย “มหาวชิราลงกรณ” เปล่งรัศมีเป็นสายฟ้า ประดิษฐานอยู่บนพานแว่นฟ้า พร้อมด้วยฉัตรบริวาร องค์พระราชลัญจกรนี้เป็นตรางากลมรีรูปไข่แนวนอน กว้าง 5.4 เซนติเมตร ยาว 6.7 เซนติเมตร
คำอ่านและความหมายคำว่า “พระราชลัญจกร”
พระราชลัญจร อ่านว่า พระราดชะลันจะกอน เป็นคำนาม
พระราชลัญจกร แปลว่า ตราของพระมหากษัตริย์สำหรับประทับในเอกสารสำคัญ เรียกว่า พระราชลัญจกร, ใช้ว่า พระราชลัญฉกร ก็มี.
คำถามเกี่ยวกับ พระราชลัญจกร
- พระราชลัญจกร คืออะไร ?
- พระราชลัญจกร อ่านว่า ?
- พระราชลัญจกร แปลว่าอะไร ?
- พระราชลัญจกร มีความสำคัญอย่างไร ?
อ้างอิงที่มาข้อมูล:
- เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี