พิพิธภัณฑ์พระพุทธรูปโบราณ จัดแสดงพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ จากหลายยุคหลายสมัย
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร ตั้งอยู่ที่พระวิหารสมเด็จ พระระเบียงคดรอบพระอุโบสถและศาลาบัณณรศภาค โดยภายหลังที่ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัว(รัชกาลที่ ๕) ได้ทรงสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า ที่ระเบียงพระวิหารคดควรจะมีพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ มาประดิษฐานไว้เพื่อความสวยงามและวิจิตรพิสดาร และเพื่อเป็นที่สักการบูชาของประชาชนที่มาเยือนวัดเบญ จึงใช้บริเวณ พระระเบียงคดรอบพระอุโบสถและศาลาบัณณรศภาคของวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร เพื่อรวบรวมพระพุทธรูปโบราณแบบและสมัยต่างๆ
ประวัติพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร
วัตถุประสงค์หนึ่งในการสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เนื่องจากเพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑสถานรวบรวมพระพุทธรูปโบราณแบบและสมัยต่างๆ โดยหลังจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยุ่หัวได้ทรงสถาปนาวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนารามแล้ว พระองค์ทรงดำริว่า ที่ระเบียงพระวิหารคดควรจะมีพระพุทธรูปโบราณปางต่างๆ มาประดิษฐานไว้เพื่อความสวยงามและวิจิตรพิสดาร และเพื่อเป็นที่สักการบูชาของประชาชนที่มาเยือนวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จ กรมพระยาดำรราชานุภาพ เสาะแสวงหาพระพุทธรูปที่พระองค์ทรงสนพระทัยดังพระดำรัสที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ผู้รับสนองแนวพระราชดำริ ทรงแสดงไว้ในปาฐกถาแก่สมาชิกสยามสมาคม ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เรื่อง พรุพุทธรูปต่างๆ ณ วัด เบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ.2470 ความตอนหนึ่ง ดังนี้
“บรรดาพระพุทธรูปสำหรับจะประดิษฐานไว้ ณ วัดนี้ ควรจะเลือกหาพระพุทธรูปโบราณซึ่งสร้างขึ้นในประเทศและในสมัยต่างๆ กัน อันเป็นของดีงามมีอยู่เป็นอันมาก รวบรวมมาตั้งแสดงให้มหาชนเห็นเป็นแบบอย่างพระพุทธรูปต่างๆ โดยทางตำนาน จึงโปรดให้สร้างพระระเบียงขึ้นในวัดนี้ และ โปรดให้เป็นหน้าที่ชองข้าพเจ้าทีจะคิดจัดหาพระพุทธรูปแบบต่างๆ มาตั้งในพระระเบียงตามพระราชดำริ”
พระดำรัสที่สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

สถาปัตยกรรมสำคัญภายในพิพิธภัณฑ์
พระวิหารสมเด็จ วัดเบญจมบพิตร
พระวิหารสมเด็จ เป็นสถานที่สำคัญอีกแห่งหนึ่งในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม สร้างขึ้นจากพระราชทรัพย์ของสมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชินีนาถ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๔๕ ตามพระราชประสงค์ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นหอพระธรรมประจำวัด พระราชทานนามว่า “หอพุทธสาสนสังคหะ” ครั้นต่อมาในปี พ.ศ.๒๔๔๘ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมให้ผนวกกิจกรรมของหอพุทธสาสนสังคหะเข้ากับหอพระสมุดดวชิรญาณ ดังนั้น ภายในหอพุทธสาสนดังคหะจึงเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปตู้พระธรรม คัมภีร์ พระไตรปิฎก เครื่องลายครามเป็นต้น
ลักษณะทางสถาปัตยกรรมเป็นอาคารสองชั้นจัตุรมุข ที่หน้าบันซุ้มประตูและซุ้มหน้าต่างเป็นปูนปั้นเป็นลายก้านขดปิดทองประดับกระจก มีตราพระปรมาภิไธย เนื่องจากพระวิหารหลังนี้ สมเด็จพระศรีพัชรินทราบรมราชชินีนาถ พระพันปีหลวง(พระนางเจ้าเสาวภาผ่องศรี) ทรงสร้างโดยเสด็จพระราชกุศล พระวิหารนี้ เดิมจะใช้เป็นหอธรรมสำหรับวัดเบญจมบพิตร ครั้งเมื่อมีการรวบรวมพระพุทธรูปมาจากหัวเมืองต่างๆ จำนวนมาก โดยในเบื้องต้นได้ประดิษฐานอยู่ในพระระเบียงคดรอบพระอุโบสถต่อมาพื้นที่คับแคบลง พระวิหารสมเด็จแห่งนี้จึงเป็นที่เก็บรวบรวมพระพุทธรูป รวมทั้งโบราณวัตถุ ศิลปวัตถุที่สำคัญแห่งหนึ่งภายในวัดเบญจมบพิตรฯ
บริเวณชั้นล่างของพระวิหารสมเด็จ เป็นสถานที่รวบรวมและจัดแสดงพระพุทธรูปสำคัญ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปขนาดย่อมกว่าพระพุทธรูปที่คัดเลือกไป ประดิษฐานในพระระเบียงคด ทั้งนี้พระพุทธรูปเหล่านี้ได้มาจากการรวบรวมจากวัดในกรุงและหัวเมืองต่างๆ โดยล้วนเป็นพระพุทธรูปซึ่งมีพุทธลักษณะและรูปแบบทางศิลปกรรมที่งดงาม เป็นตัวอย่างสำคัญในการศึกษาเรื่องพระพุทธรูปในแต่ละยุคสมัย ที่สำคัญคือพระพุทธรูปศิลปะล้านนา ศิลปะสุโขทัย ศิลปะอยุธยา และ ศิลปะรัตนโกสินทร์
นอกจากนั้นยังมีการรวบรวมตู้พระธรรมหรือตู้ลายรดน้ำจำนวน ๒๘ ใบ ซึ่งมีตู้พระธรรมหลายลักษณะ ทั้งแบบฐานสิงห์ ขาตู้แบบเท้าสิงห์เหยียบลูกแก้ว และตู้พระธรรมแบบขาหมู โดยตู้พระธรรมบางใบมีหลักฐานว่ามาจากวัดในเขตกรุงเทพมหานคร อาทิเช่น วัดหงส์รัตนาราม ธนบุรี เป็นต้น
บริเวณชั้นบนของพระวิหารสมเด็จ จัดแสดงโบราณวัตถุศิลปวัตถุ ประเภทเครื่องกระเบื้อง โดยมีการจัดชุดเครื่องถ้วยเคลือบลายคราม และเครื่องถ้วยเคลือบสีแดง เป็นชุดเครื่องบูชาอย่างโต๊ะจีน นอกจากนั้นยังมีการรวบรวมเครื่องแก้ว เครื่องอัฏญบริขาร ซึ่งล้วนเป็นสมบัติที่เก็บรักษาอยู่ ณ วัดเบญจมบพิตรตั้งแต่ครั้งพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ พระราชทาน และพระบรมวงศานุวงศ์ประทานไว้ให้เป็นพุทธบุชา และเป็นเครื่องใช้ของสงฆ์ในวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม

พระระเบียงคด รอบพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตร
วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปสำคัญหลายองค์ นอกจากพระพุทธชินราช กรุงเทพฯ ที่เป็นพระพุทธชินราชองค์จำลองมาจากพระพุทธชินราช จ.พิษณุโลกซึ่งเป็นพระประธานในพระอุโบสถของวัดเบญจมบพิตรแล้วยังมีพระพุทธรูปที่พระระเบียง และประดิษฐานอยู่ในอาคารอื่นๆ ของวัดอีกด้วย

บริเวณภายในระเบียงพระอุโบสถ วัดเบญจมบพิตรฯ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประดิษฐานพระพุทธรูปต่างๆ จำนวน ๕๒ องค์ (องค์สุดท้ายได้มาภายหลังจากที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว) ซึ่งโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ดำเนินการเสาะหาทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองตลอดจนถึงต่างประเทศ การแสวงหาพระพุทธรูปนั้น บางครั้งเต็มไปด้วยความยากลำบาก เช่น การอัญเชิญพระพุทธรูปจากวิหารหลวงเมืองเชียงแสน “ต้องอัญเชิญมาตามทางเรือในลำน้ำโขง เข้าแม่น้ำกก ขึ้นบกที่เชียงราย หามมาลงที่พะเยา” โดยพระพุทธรูปที่จะประดิษฐานที่พระระเบียงต้องอยู่ในเกณฑ์ดังนี้
๑. จะต้องเป็นพระพุทธรูปที่แล้วด้วยฝีมือช่างเอกที่น่าชม
๒. ต้องต่างกัน
๓. ต้องมีขนาดไล่เลี่ยกัน
วิธีรวบรวมพระพุทธรูปให้ได้ตามเกณฑ์นั้น โดยการสืบเสาะหาพระพุทธรูปของโบราณที่มีอยู่แล้ว ทั้งจากหัวเมืองและในพระนคร(กรุงเทพฯ) รวมถึงต่างประเทศด้วย จึงเป็นการยากที่จะให้ได้โบราณทั้งหมดตามเกณฑ์ดังกล่าว บางองค์จึงเป็นพระพุทธรูปที่หล่อขยายขึ้นจากพระพุทธรูปองค์เล็ก หรือย่อส่วนลงจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หรือบางองค์ก็หล่อเท่าเดิมจากพระศิลา ซึ่งมีผู้ศรัทธาโดยเสด็จพระราชกุศลทำถวายทั้งสิ้น ถ้าพบพระพุทธรูปที่ได้อย่าง แต่งเป็นพระขนาดเล็กไปกว่าที่ควรจะตั้งในพระระเบียงได้ ก็ให้ช่างปั้นจำลองขยายส่วนใหญ่ออกไปให้ได้ขนาด แล้วหล่อมาตั้งในพระระเบียง การหล่อพระจำลองมีผู้รับทำถวายทั้งนั้น เพราะการสร้างพระพุทธรูปถือว่าเป็นการกุศลสืบอายุพระพุทธศาสนามีผู้ศรัทธาสมทบสร้างไม่ขาด แต่มักมีความลำบากอยู่อย่างหนึ่ง ด้วยเมื่อสร้างแล้วต้องหาที่ไว้พระพุทธรูป เมื่อทราบกันว่าใครสร้างพระพุทธรูปตามแบบอย่างที่ต้องพระราชประสงค์ จะพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้รับตั้งไว้ในพระระเบียง ก็พากันยินดีรับแบบไปสร้างแล้วเอามาถวายไว้ในวัดเบญจมบพิตร
ศาลาบัณณรศภาค วัดเบญจมบพิตร
ศาลาบัณณรศภาค วัดเบญจมบพิตรฯ เป็นศาลาจัตุรมุข ชั้นเดียว ผนังก่ออิฐถือปูนพื้นปูหินอ่อน สร้างขึ้นด้วยทุนของพระโอรส พระธิดาเจ้าจอม และพระญาติ ในพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ รวม ๑๕ ราย มีพระนางเจ้าพระราชเทวี สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสุทธาทิพรัตน์ และสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ากรมขุนนครสวรรค์วรพินิต เป็นต้น เหตุที่สร้างด้วยทุนทรัพย์ ๑๕ ส่วน จึงพระราชทานนามว่า “ศาลาบัณณรศภาค” สร้างแล้วเสร็จและอุทิศถวายเป็นหอฉันท์ ในวันที่ ๒๑ พฤศจิกายน พ.ศ.๒๔๔๔
ภายในมุขด้านตะวันออกประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ที่มีขนาดไม่ได้ขนาดเท่าฐานที่จะประดิษฐาน ณ ระเบียงพระวิหารคด จึงโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาประดิษฐานที่ศาลานี้ โดยเป็นพระพุทธรูปโบราณที่มีลักษณะงดงาม จำนวน ๘ องค์ ประดิษฐานอยู่บนฐานชุกชีที่เดียวกัน
โบราณวัตถุภายในพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ
พระฝาง
พระฝาง เป็นพระพุทธรูปกะไหล่ทอง ปางมารวิชัยทรงมงกุฎ และเครื่องราชาภรณ์อย่างพระมหากษัตริย์ ฝีมือช่างอยุธยา พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าฯ ให้อัญเชิญมาจากวิหารหลวง(วัดสวางค์) เมืองฝาง หรือสวางคบุรี จังหวัดอุตรดิตถ์ ลงมาประดิษฐานไว้ที่บุษบก มุขหน้า ชั้นบน ของพระวิหารสมเด็จ
ข้อมูลท่องเที่ยว พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร
พิกัดที่ตั้ง พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร กรุงเทพฯ
การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร
- รถโดยสารประจำทางสาย : 2, 15, 44, 47, 59, 60, 70, 79, 157, 169, 183, 503, 509, 511, 556 (ลงป้ายแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศ) - เรือโดยสารคลองแสนแสบ : ท่าเรือสะพานผ่านฟ้าลีลาศ - BTS : สถานีราชเทวี ต่อเรือโดยสารคลองแสนแสบท่าเรือสะพานหัวช้าง - MRT : สถานีเพชรบุรี ต่อเรือโดยสารคลองแสนแสบท่าเรืออโศก *มีที่จอดรถ ด้านหลังอาคารอนุรักษ์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
อัตราค่าเข้าชม
เข้าชม ฟรี
การแต่งกาย
นักท่องเที่ยวควรแต่งกายสุภาพ
เวลาทำการ (ปิด-ปิด)
เปิดทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 08.30 - 17.30 น.
ที่ตั้ง
พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ วัดเบญจมบพิตร เลขที่ 69 ถ. พระรามที่ ๕ แขวง ดุสิต เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร 10300
ติดต่อ
โทรศัพท์ : โทรสาร : อีเมล์ : เว็บไซต์ :
*** การเข้าชมพิพิธภัณฑ์ หรือพิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ กรุณาตรวจสอบสถานะและเวลาทำการก่อนทุกครั้ง **
ที่มาข้อมูลและรูปภาพ:
- เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th.wikipedia.org)
- เว็บไซต์มิวเซียมสยาม (museumsiam.org)
- เว็บไซต์มิวเซียมไทยแลนด์ (museumthailand.com)
- เว็บไซต์การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.)