พระอารามหลวงประจำพระองค์พระมหากษัตริย์ไทย ๑๐ รัชกาล แห่งราชวงศ์จักรี
พระมหากษัตริย์ทุกพระองค์ทรงมีวัดประจำรัชกาล แต่มิได้ประกาศอย่างเป็นทางการ อาจด้วยเหตุต่างๆ กัน เช่น เป็นวัดที่ทรงสร้าง วัดที่ทรงผูกพันให้ความสำคัญกับวัดนั้นเป็นพิเศษ ทรงรับไว้ในพระอุปถัมภ์ หรือเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชสรีรังคาร
พระอารามหลวง หรือ วัดหลวง หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์หรือพระบรมวงศานุวงศ์ทรงมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิด เช่น ทรงสร้างหรือทรงบูรณปฏิสังขรณ์ หรือมีผู้สร้างน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายเป็นวัดหลวง และวัดที่ราษฎรสร้าง หรือบูรณปฏิสังขรณ์ แล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เข้าจำนวนในบัญชีเป็นพระอารามหลวง วัดประจำรัชกาลจึงมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยิ่ง
วัดประจำรัชกาล ราชวงศ์จักรี ทุกวัดประจำรัชกาล เป็นพระอารามหลวงชั้นเอก มีทั้งชนิดราชวรมหาวิหาร และราชวรวิหาร เป็นสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมของประเทศไทย สะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญของพระพุทธศาสนาในสังคมไทย และพระมหากษัตริย์ไทยในฐานะองค์ศาสนูปถัมภก วัดประจำรัชกาล ราชวงศ์จักรี ตั้งแต่รัชกาลที่ 1 – รัชกาลที่ 10 มีดังนี้
รัชกาล | วัดประจำรัชกาล | พระอารามหลวง |
---|---|---|
รัชกาลที่ 1 | วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร |
รัชกาลที่ 2 | วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร |
รัชกาลที่ 3 | วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
รัชกาลที่ 4 | วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
รัชกาลที่ 5 | วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
รัชกาลที่ 6 | วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
รัชกาลที่ 7 | วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
รัชกาลที่ 8 | วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร |
รัชกาลที่ 9 | วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
รัชกาลที่ 10 | วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร (วัดทุ่งสาธิต) | พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร |
วัดประจำรัชกาลที่ 1 พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 1
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม หรือ วัดโพธิ์ พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย เป็นวัดประจำรัชกาลพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ 1 ทั้งยังเป็นที่รวมจารึกสรรพวิชาหลายแขนงจึงเปรียบเสมือนเป็นมหาวิทยาลัยแห่งแรกของประเทศ ทางยูเนสโกจึงได้ขึ้นทะเบียนเป็นมรดกความทรงจำโลกของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก เมื่อ มีนาคม พ.ศ. 2551 และวันที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 1554 ทางยูเนสโก ได้ขึ้นทะเบียนจารึกวัดโพธิ์จำนวน 1,440 ชิ้น เป็นมรดกความทรงจำโลกในทะเบียนนานาชาติ
วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดที่มีพระเจดีย์มากที่สุดในประเทศไทย โดยมีจำนวนประมาณ 99 องค์ พระเจดีย์ที่สำคัญ คือ พระมหาเจดีย์สี่รัชกาล ซึ่งเป็นพระมหาเจดีย์ประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว
วัดประจำรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย

วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 2
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย วัดอรุณราชวราราม เป็นวัดโบราณสร้างตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา เดิมเรียกว่า ” วัดมะกอก ” แล้วเปลี่ยนมาเป็น “ วัดแจ้ง ” ในสมัยสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อมาสมัยรัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย ได้ทรงบูรณะปฏิสังขรณ์ใหม่แล้วพระราชทานชื่อใหม่ว่า “ วัดอรุณราชธาราม ” ถึงรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้บูรณะปฏิสังขรณ์เพิ่มเติมอีก แล้วเปลี่ยนชื่อวัดเป็น “ วัดอรุณราชวราราม ” มีชื่อเต็มว่า “ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร ”
วัดประจำรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 3
วัดราชโอรสารามราชวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร เดิมชื่อว่า วัดจอมทอง เป็นวัดโบราณสมัยกรุงศรีอยุธยา ในสมัยรัชกาลที่ 2 ได้รับพระราชทานนามใหม่เป็น วัดราชโอรส หมายถึง วัดที่พระราชโอรสทรงสถาปนาขึ้น ด้วยเหตุที่เมื่อครั้งที่รัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงดำรงพระราชอิสริยยศเป็น พระเจ้าลูกยาเธอกรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ในรัชกาลที่ 2 ได้เป็นแม่ทัพคุมพลเสด็จไปสกัดกั้นทัพพม่าที่เมืองกาญจนบุรีโดยทางเรือ และเส้นทางเดินทัพในวันแรกได้เสด็จผ่าน คลองบางกอกใหญ่ (ปัจจุบัน คือคลองบางหลวง) เข้าคลองด่าน เมื่อเสด็จถึงหน้าวัดจอมทองทรงหยุดประทับแรมที่หน้าวัด และได้ทรงประกอบพิธีเบิกโขลนทวารตามตำราพิชัยสงคราม มีเรื่องเล่ากันว่า ท่านเจ้าอาวาสวัดจอมทองได้จับยามสามตาดู แล้วถวายคำพยากรณ์ว่าจะประสบผลสำเร็จและเสด็จกลับมาโดยสวัสดิภาพ จึงทรงเลื่อมใสและประทานพรไว้ว่า หากเป็นเช่นนั้นจริงจะสร้างวัดถวายใหม่ หลังจากเลิกทัพเสด็จกลับพระนครโดยปลอดภัยแล้วจึงปฏิสังขรณ์วัดนี้ขึ้นใหม่ทั้งวัดตามที่ทรงประทานพรไว้กับเจ้าอาวาส และเนื่องจากพระองค์ทรงนิยมศิลปะจีน รูปทรงสถาปัตยกรรมและศิลปกรรมต่างๆ ในพระอารามนี้จึงเป็นศิลปะประยุกต์แบบ ไทยผสมจีน เรียกกันในสมันนั้นว่า ศิลปะพระราชนิยม
ศิลปกรรมไทยในวัดราชโอรสฯ ล้วนเป็นศิลปะประยุกต์สรรค์สร้างได้อย่างกลมกลืน งดงาม หาที่ติไม่ได้ เช่น ลายกระแหนะรูปเสี้ยวกางที่บานประตูหน้าต่างพระวรวิหารพระพุทธไสยาสน์ รูปหลังคาแบบจีนของพระอุโบสถ พระวิหารพระพุทธไสยาสน์ ตลอดถึงกุฏิ นับเป็นครั้งแรกที่มีการสร้างโบสถ์ วิหารที่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกาและหางหงส์ แต่ยังคงรูปสิ่งเหล่านั้นไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งศาสนสถานได้อย่างสง่าและงดงาม
วัดประจำรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 4
วัดราชประดิษฐสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร รัชกาลที่ 4 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นตาทพระราชดำริเพื่อประโยชน์ 2 ประการ คือ ประการแรก ให้เป็น พระอารามหลวงของพระมหากษัตริย์ เพื่อให้เป็นไปตามพระราชประเพณีโบราณที่ว่า ในราชธานีจะต้องมีสำคัญประจำ 1 วัด ได้แก่ วัดมหาธาตุฯ วัดราชบูรณะฯ และวัดราชประดิษฐฯ ประการที่ 2 ให้เป็น วัดฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ที่อยู่ใกล้กับพระบรมมหาราชวัง สะดวกสำหรับพระองค์ เจ้านายและข้าราชการฝ่ายหน้าฝ่ายในทั้งหลายไม่ต้องเดินทางไกลไปถึง วัดบวรนิเวศมหาวิหารฯ ต่อมารัชกาลที่ 5 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้แบ่งพระบรมอัฐิของรัชกาลที่ 4 ไปบรรจุในพระพุทธอาสน์ของพระประธานในพระอุโบสถ จึงถือว่าเป็น วัดประจำรัชกาลที่ 4 ภายในพระวิหารมีจิตรกรรมภาพเขียนแปลกกว่าวัดอื่น คือ ผนังระหว่างหน้าต่างเป็น ภาพพระราชพิธี 12 เดือน ส่วนที่ผนังหน้าพระประธานเป็น ภาพสุริยุปราคา มีคนกำลังส่องกล้องดูดาว ทำให้รำลึกถึงการเสด็จพระราชดำเนินทอดพระเนตรสุริยุปราคา ที่ ตำบลหว้ากอ จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ในปี พ.ศ. 2411
วัดประจำรัชกาลที่ 5 พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๕
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย
วัดประจำรัชกาลที่ 6 พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 6
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร เขตพระนคร กรุงเทพฯ แต่เดิมวัดแห่งนี้ ชื่อว่า “วัดใหม่” ตั้งอยู่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ด้วยศิลปะไทยผสมจีน โดยทรงผูกพัทธสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๒ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบวัดรังษีสุทธาวาสมารวมกับวัดบวรนิเวศวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 7 พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดราชบพิธสถิตมหาสีมารามราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๗
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม เป็นพระอารามหลวงที่พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้สร้างขึ้นเป็นวัดประจำรัชกาลเมื่อ พ.ศ. 2412 โดยมีพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าประดิษฐวรการ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสาตรศุภกิจ และเจ้าพระยาธรรมาธิกรณาธิบดี (หม่อมราชวงศ์ปุ้ม มาลากุล) เป็นผู้อำนวยการก่อสร้าง มีลักษณะผสมระหว่างสถาปัตยกรรมไทยกับสถาปัตยกรรมตะวันตก คือ ลักษณะภายนอกเป็นสถาปัตยกรรมไทย ส่วนภายในออกแบบตกแต่งอย่างตะวันตก และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานนามว่าวัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม หมายถึง วัดที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้าง และมีมหาสีมาอันเป็นเสาศิลาจำหลักยอดเป็นรูปเสมาธรรมจักร 8 เสา ตั้งเป็นสีมาที่กำแพง 8 ทิศ “ราชบพิธ” หมายถึง พระอารามที่พระเจ้าแผ่นดินทรงสร้าง บพิธ คำนี้มาจากภาษาบาลีคือ ปวิธะ ที่แปลว่าสร้าง ส่วน “สถิตมหาสีมาราม” หมายถึง พระอารามซึ่งมีสีมากว้างใหญ่ เป็นมหาสีมาล้อมรอบอาณาเขตของวัด วัดราชบพิธสถิตมหาสีมาราม นับเป็นพระอารามหลวงสุดท้าย ที่พระมหากษัตริย์ทรงสร้างตามโบราณราชประเพณีที่มีการสร้างวัดประจำรัชกาล
วัดประจำรัชกาลที่ 8 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล

วัดสุทัศนเทพวรารามราชวรมหาวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 8
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย วัดสุทัศนเทพวราราม ราชวรมหาวิหาร หรือ วัดสุทัศนเทพวราราม เป็นพระอารามหลวงชั้นเอกพิเศษ ชนิดราชวรมหาวิหาร ฝ่ายมหานิกาย ตั้งอยู่ ณ แขวงราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพมหานคร มีชื่อเรียกกันเป็นสามัญหลายชื่อตั้งแต่สมัยต้นกรุงรัตนโกสินทร์ อาทิเช่น วัดพระใหญ่, วัดพระโต ซึ่งเป็นการเรียกตามลักษณะพระพุทธรูปสำคัญของวัดคือพระศรีศากยมุนี หรือ “วัดเสาชิงช้า” ซึ่งเรียกตามสถานที่ตั้งที่อยู่ใกล้กับเสาชิงช้า ด้านหน้าเทวสถานของพราหมณ์บริเวณใจกลางพระนคร ภายในวัดสุทัศนเทพวรารามเป็นที่ประดิษฐานพระบรมราชานุสาวรีย์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทร และได้อัญเชิญ พระบรมราชสรีรางคารของพระองค์ มาบรรจุที่ผ้าทิพย์ด้านหน้าพุทธบัลลังก์พระศรีศากยมุนีเมื่อ พ.ศ. 2493 และมีพระราชพิธีทรงบำเพ็ญพระราชกุศลคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหาอานันทมหิดล พระอัฐมรามาธิบดินทรในวันที่ 9 มิถุนายนของทุกปี
วัดประจำรัชกาลที่ 9 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราช

วัดบวรนิเวศราชวรวิหาร เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 9
พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรมหาวิหาร 1 ใน 6 ของไทย พระอารามหลวงชั้นเอก ชนิดราชวรวิหาร ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ต้นถนนตะนาวและถนนเฟื่องนคร เขตพระนคร กรุงเทพฯ แต่เดิมวัดแห่งนี้ ชื่อว่า “วัดใหม่” ตั้งอยู่ใกล้กับวัดรังษีสุทธาวาส โดยสมเด็จพระบวรราชเจ้ามหาศักดิพลเสพ วังหน้าในรัชกาลที่ ๓ ได้ทรงสร้างขึ้นใหม่ด้วยศิลปะไทยผสมจีน โดยทรงผูกพัทธสีมาเป็นครั้งแรกเมื่อปีพุทธศักราช ๒๓๗๒ ต่อมาในสมัยพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๖ ได้โปรดเกล้าฯ ให้ยุบวัดรังษีสุทธาวาสมารวมกับวัดบวรนิเวศวิหาร
วัดประจำรัชกาลที่ 10 พระบาทสมเด็จพระปรเมนทรรามาธิบดีศรีสินทรมหาวชิราลงกรณ พระวชิรเกล้าเจ้าอยู่หัว

วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร (วัดทุ่งสาธิต) เป็นวัดประจำรัชกาลที่ 10
พระอารามหลวงชั้นตรี ชนิดวรวิหาร เดิมชื่อ วัดทุ่งสาธิต สร้างโดยคหบดีชาวลาว เมื่อประมาณ พ.ศ.๒๓๙๙ หลังจากท่านคหบดีถึงแก่กรรม วัดจึงถูกทิ้งร้าง จนกระทั่งมีพระสงฆ์มาจำวัดในเดือนตุลาคม พ.ศ.๒๕๐๖ ในสมัยพระโสภณวชิรธรรม (สาธิต ฐานวโร) เป็นเจ้าอาวาส ต่อมาเมื่อวันที่ ๙ กันยายน พ.ศ.๒๕๐๘ พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช (พระยศ รัชกาลที่ ๙ ในขณะนั้น) โปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอเจ้าฟ้าวชิราลงกรณ์ (รัชกาลที่ ๑๐) ทรงรับวัดทุ่งสาธิต ไว้ในพระอุปถัมภ์ และได้พระราชทานนามว่า วัดวชิรธรรมสาธิตวรวิหาร โดยนามของวัด วชิร มาจาก วชิราลงกรณ์, ธรรม มาจาก คำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า และ สาธิต มาจากนามเดิมพระโสภณวชิรธรรม
ในประเทศไทย มีวัดประจำรัชกาลตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาจนถึงปัจจุบัน แต่ละรัชกาลอาจมีวัดประจำรัชกาลได้มากกว่าหนึ่งวัด ขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์ที่พระมหากษัตริย์พระองค์นั้นทรงมีกับวัดนั้นๆ
วัดประจำรัชกาลมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมอย่างยิ่ง เพราะเป็นหลักฐานสำคัญทางประวัติศาสตร์ ในการบันทึกพระราชประวัติและพระราชกรณียกิจของพระมหากษัตริย์แต่ละพระองค์ นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่สำคัญในการประกอบพิธีกรรมทางศาสนาและวัฒนธรรมต่างๆ ของประเทศไทยในอดีตจนถึงปัจจุบัน