พระมหากษัตริย์สมัยธนบุรีพระมหากษัตริย์ไทย

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)

พระมหากษัตริย์ไทย สมัยธนบุรีพระเจ้าตากสินมหาราช ราชวงศ์ธนบุรี ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ – ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕

พระมหากษัตริย์ไทย สมัยกรุงธนบุรีราชธานี

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี หรือ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช (๑๗ เมษายน พ.ศ. ๒๒๗๗ – ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕) มีพระนามเดิมว่า สิน เป็นคนไทยเชื้อสายจีน ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ผู้ก่อตั้งอาณาจักรธนบุรี และเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์เดียวของราชอาณาจักรธนบุรี

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเดิมเป็นนายทหารในรัชกาลสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ ต่อมา พ.ศ. ๒๓๑๐ เกิดเหตุการเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่สอง พระองค์ได้เป็นผู้นำการต่อต้านและขับไล่ทหารพม่าที่ยึดครองกรุงศรีอยุธยาอยู่ในเวลานั้น และได้ปราบดาภิเษกเป็นพระมหากษัตริย์ ด้วยเหตุที่กรุงศรีอยุธยาเสียหายจากสงครามเมื่อครั้งเสียกรุงศรีอยุธยาครั้งที่ ๒ ทำให้พระองค์ตัดสินใจย้ายเมืองหลวงไปยังกรุงธนบุรี และรวบรวมแผ่นดินให้เป็นปึกแผ่น ซึ่งมีขุนศึกก๊กต่าง ๆ ปกครองให้กลับเป็นปึกแผ่นอีกครั้ง เช่นเดียวกับการขยายอาณาเขตออกไปอย่างกว้างขวาง นอกจากนี้ ยังทรงฟื้นฟูราชอาณาจักรไทยในด้านต่าง ๆ ให้กลับคืนสู่สภาวะปกติหลังสงคราม ทั้งส่งเสริมกิจการด้านเศรษฐกิจ ศาสนา ศิลปวัฒนธรรม วรรณกรรม และการศึกษา ภายหลังรัฐบาลไทยประกาศให้วันที่ ๒๘ ธันวาคมของทุกปีเป็น “วันสมเด็จพระเจ้าตากสิน” และยังทรงได้รับสมัญญานามมหาราช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเสด็จสวรรคตเมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ เมื่อพระชนมพรรษา ๔๘ พรรษา หลังถูกสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึกซึ่งเป็นพระสหายสำเร็จโทษ และสืบราชสมบัติต่อเป็นต้นราชวงศ์จักรีในปัจจุบัน รวมเวลาครองราชย์ ๑๕ ปี พระองค์มีพระราชโอรสและพระราชธิดารวมทั้งสิ้น ๓๐ พระองค์ พระองค์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ของชาติไทยที่ประชาชนรู้จักดีและเป็นที่เคารพสักการะมากที่สุดพระองค์หนึ่งในเรื่อง “การกู้ชาติ” นอกจากนี้ยังมีพระบรมราชานุสรณ์ของพระองค์มีประดิษฐานมากที่สุดพระองค์หนึ่ง

พระราชประวัติสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)

พระราชสมภพ

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช มีพระนามเดิมว่า ทองด้วง เสด็จพระราชสมภพเมื่อวันที่ ๒๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๒๗๙ (นับแบบปัจจุบัน พ.ศ. ๒๒๘๐) (วันที่ ๒๐ เดือน ๔ ตามปีจันทรคติ) ในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศแห่งอาณาจักรอยุธยา พระองค์เป็นบุตรคนที่ ๔ ของพระอักษรสุนทรศาสตร์ (ทองดี) ซึ่งต่อมาได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระปฐมบรมมหาชนก กับพระอัครชายา (หยก) เมื่อเจริญวัยขึ้นได้ถวายตัวเป็นมหาดเล็กในสมเด็จเจ้าฟ้ากรมขุนพรพินิต (ต่อมาคือสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร) ครั้นพระชนมายุครบ ๒๑ พรรษา ก็เสด็จออกผนวชเป็นภิกษุอยู่วัดมหาทลาย ๑ พรรษา แล้วลาผนวชเข้ารับราชการเป็นมหาดเล็กหลวงในสมเด็จพระเจ้าอุทุมพรดังเดิม เมื่อพระชนมายุได้ ๒๕ พรรษา พระองค์เสด็จออกไปรับราชการที่เมืองราชบุรีในตำแหน่ง “หลวงยกกระบัตร” ในแผ่นดินสมเด็จพระที่นั่งสุริยาศน์อมรินทร์ และได้สมรสกับคุณนาค (ภายหลังได้รับการสถาปนาที่สมเด็จพระอมรินทราบรมราชินี) ธิดาในตระกูลเศรษฐีมอญที่มีรกรากอยู่ที่บ้านอัมพวา เมืองสมุทรสงคราม

ก่อนครองราชย์

เมื่อพระชนมายุ ๙ พรรษา ก่อนการขึ้นครองราชสมบัติของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก สมเด็จพระบรมชนกนาถทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งพระราชพิธีลงสรง ได้เฉลิมพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้ามงกุฎ สมมุติเทววงศ์ พงศ์อิศวรวรกกระษัตริย์ ขัตติยราชกุมาร”

ทรงผนวช

สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช หรือนายสินเรียนจบการศึกษา เจ้าพระยาจักรีก็ได้นำไปถวายตัวรับราชการภายใต้หลวงนายศักดิ์นายเวร ภายหลังเป็นเจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์จนมีอายุได้ ๒๐ ปีบริบูรณ์ เจ้าพระยาจักรีได้จัดการอุปสมบทเป็นพระภิกษุให้ โดยได้อุปสมบทอยู่กับอาจารย์ทองดี ณ วัดโกษาวาส และบวชอยู่นานถึง ๓ พรรษา ในระหว่างอุปสมบทพระภิกษุสิน ได้ออกบิณฑบาตพร้อมกับพระภิกษุทองด้วง เป็นประจำ เพราะรับราชการเป็นมหาดเล็กด้วยกันมาหลายปี ทั้งสองมีความรักใคร่กลมเกลียวกันมาก ได้อุปสมบทพร้อมกัน

วันหนึ่ง พระภิกษุทั้งสองได้พบกับซินแสหมอดูชาวจีนผู้หนึ่ง ซึ่งทำนายว่าทั้งสองเป็นลักษณะของผู้มีบุญที่จะขึ้นครองราชบัลลังก์เป็นพระมหากษัตริย์ ซึ่งในเวลาต่อมา นายทองด้วง สหายของ นายสิน ได้กลายมาเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลถัดจากสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี คือ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑)

ทรงครองราชย์ (ปราบดาภิเษก)

สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช) ครองราชสมบัติ ตั้งแต่ ๒๘ ธันวาคม พ.ศ.๒๓๑๐ – ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ (พระชนมายุ ๔๗ พรรษา) รวมระยะเวลาที่ทรงครองสิริราชสมบัติ ๔๔ ปี ๙๙ วัน

พระปฐมบรมราชานุสาวรีย์ทรงประทับเหนือพระที่นั่งพุดตานกาญจนสิงหาสน์ ในการพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕

ในวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ หลังจากได้มีการผลัดเปลี่ยนแผ่นดินจากสมัยกรุงธนบุรี สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก ได้ปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี ขณะทรงมีพระชนมายุ ๔๖ พรรษา พระองค์ทรงโปรดเกล้าฯ ให้ย้ายราชธานีจากกรุงธนบุรีราชธานีเดิมที่อยู่ฝั่งตะวันตกของแม่น้ำเจ้าพระยา มายังฝั่งตะวันออกของแม่น้ำเจ้าพระยา พระองค์โปรดให้สร้างพระราชวังหลวงและโปรดเกล้าฯ ให้อัญเชิญพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากร(พระแก้วมรกต) มาประดิษฐานยัง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว) หลังจากนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้จัดงานฉลองสมโภชพระนครเป็นเวลา ๓ วัน ครั้งเสร็จการฉลองพระนครแล้ว พระองค์พระราชทานนามพระนครแห่งใหม่ให้ต้องกับนามพระพุทธมหามณีรัตนปฏิมากรว่า “กรุงเทพมหานคร บวรรัตนโกสินทร์ มหินทรายุธยา มหาดิลกภพ นพรัตนราชธานีบุรีรมย์ อุดมราชนิเวศน์มหาสถาน อมรพิมานอวตารสถิต สักกะทัตติยวิษณุกรรมประสิทธิ์” หรือเรียกอย่างสังเขปว่า “กรุงเทพมหานคร”

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก รัชกาลที่ ๑

สมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒ ครั้ง คือ

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๑ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อวันที่ ๑๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๕ (วันจันทร์ ขึ้น ๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีขาล จัตวาศก จ.ศ. ๑๑๔๔) ทรงโปรดเกล้าฯ ให้มีพระราชพิธีบรมราชาภิเษกขึ้น หลังการพระราชพิธีปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์ โดยเป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างสังเขป

พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช เมื่อวันที่ ๑๗ มิถุนายน พ.ศ. ๒๓๒๘ (วันศุกร์ ขึ้น ๑๑ ค่ำ เดือน ๘ ปีมะเส็ง สัปตศก จ.ศ. ๑๑๔๗) หลังจากครั้งที่ ๑ ประมาณ ๓ ปี การประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ นี้ เป็นพระราชพิธีบรมราชาภิเษกอย่างครบถ้วนตามโบราณราชประเพณี โดยให้มีการรวบรวมตำราแบบแผนการประกอบพระราชพิธี และจากการประชุมบรรดานักปราชญ์ราชบัณฑิต, สร้างเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ขึ้นใหม่ทดแทนของเดิมที่สูญหายจากภัยสงคราม

พระปรมาภิไธย

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกทรงปราบดาภิเษกขึ้นเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรีแล้ว พระองค์มีพระนามตามจารึกในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระบรมราชาธิราชรามาธิบดี ศรีสินทรบรมมหาจักรพรรดิราชาธิบดินทร์ ธรณินทราธิราช รัตนากาศภาสกรวงศ์ องค์ปรมาธิเบศร ตรีภูวเนตรวรนารถนายก ดิลกรัตนราชชาติอาชาวศรัย สมุทัยดโรมนต์ สกลจักรวาฬาธิเบนทร์ สุริเยนทราธิบดินทร์ หริหรินทรธาดาธิบดี ศรีสุวิบุลยคุณอขนิษฐ์ ฤทธิราเมศวรมหันต์ บรมธรรมิกราชาธิราชเดโชไชย พรหมเทพาดิเทพนฤบดินทร์ ภูมินทรปรมาธิเบศร์ โลกเชฏฐวิสุทธิ์ รัตนมกุฎประเทศคตามหาพุทธางกูร บรมบพิตรพระพุทธเจ้าอยู่หัว”

เนื่องจากพระปรมาภิไธยที่จารึกลงในพระสุพรรณบัฏนี้เป็นพระปรมาภิไธยเดียวกับพระมหากษัตริย์แห่งกรุงศรีอยุธยา ๓ พระองค์ ได้แก่ สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ (พระเจ้าอู่ทอง), สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๒ (พระเชษฐา) และสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๓ (สมเด็จพระนารายณ์มหาราช) ดังนั้น พระองค์จึงเป็น “สมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๔”

ต่อมา พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๓) โปรดให้ออกพระนามรัชกาลที่ ๑ ว่า พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก ตามนามของพระพุทธรูปที่ทรงสร้างอุทิศถวาย และพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ได้เพิ่มพระปรมาภิไธยแก่สมเด็จพระบรมอัยกาธิราชจารึกลงในพระสุพรรณบัฏว่า “พระบาทสมเด็จพระปรโมรุราชามหาจักรีบรมนารถ นเรศวราชวิวัฒนวงศ์ ปฐมพงศาธิราชรามาธิบดินทร์ สยามพิชิตินทรวโรดม บรมนารถบพิตร พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก”

หลังจากนั้น พระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖) ทรงมีพระบรมราชโองการเฉลิมพระปรมาภิไธยอย่างสังเขปว่า พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีศรีสินทรมหาจักรีบรมนาถ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก หรือ พระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑

ในวาระการสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ครบรอบ ๒๐๐ ปี รัฐบาลได้จัดงานสมโภชกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้น เมื่อ พ.ศ. ๒๕๒๕ ในการนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยพร้อมใจกันเฉลิมพระเกียรติพระองค์โดยถวายพระราชสมัญญา “มหาราช” ต่อท้ายพระปรมาภิไธย ออกพระนามว่า “พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช”

เสด็จสวรรคต

พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(รัชกาลที่ ๑) เสด็จสวรรคตเมื่อวันพฤหัสบดีที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ ตรงกับวันแรม ๑๓ ค่ำ เดือนเก้า(๙) ปีมะเส็ง สิริพระชนมายุได้ ๗๓ พรรษา และทรงดำรงอยู่ในสิริราชสมบัติ ๒๗ ปี

หลังจากการฉลอง วัดพระศรีรัตนศาสดาราม(วัดพระแก้ว)แล้ว ก็ประชวรทรงพระโสภะอยู่ ๓ ปี พระอาการทรุดลงเรื่อย ๆ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคต เมื่อวันที่ ๗ กันยายน พ.ศ. ๒๓๕๒ ณ พระที่นั่งไพศาลทักษิณ

พระราชพิธีพระบรมศพ

หลังจากพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช(รัชกาลที่ ๑) เสด็จสวรรคต พระบรมศพถูกเชิญลงสู่พระลองเงินประกอบด้วยพระโกศทองใหญ่แล้วเชิญไปประดิษฐานไว้ ณ พระที่นั่งดุสิตมหาปราสาท ภายใต้พระมหาเศวตฉัตร ตั้งเครื่องสูงและเครื่องราชูปโภคเฉลิมพระเกียรติยศตามโบราณราชประเพณี พระสงฆ์สวดพระอภิธรรม โคมกลองชนะตามเวลา ดังเช่นงานพระบรมศพพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาทุกประการ จนกระทั่ง พ.ศ. ๒๓๕๔ พระเมรุมาศ ซึ่งสร้างตามแบบพระเมรุมาศสำหรับพระเจ้าแผ่นดินสมัยกรุงศรีอยุธยาได้สร้างแล้วเสร็จ จึงเชิญพระบรมโกศจากพระที่นั่งดุสิตมหาปราสาทขึ้นประดิษฐาน ณ พระเมรุมาศ แล้วจักให้มีการสมโภชพระบรมศพเป็นเวลา๗ วัน ๗ คืน จึงถวายพระเพลิงพระบรมศพ หลังจากนั้น มีการสมโภชพระบรมอัฐิและบำเพ็ญพระราชกุศล เมื่อแล้วเสร็จจึงเชิญพระบรมอัฐิประดิษฐาน ณ หอพระธาตุมณเฑียร ภายในพระบรมมหาราชวัง ส่วนพระบรมราชสรีรางคารเชิญไปลอยบริเวณหน้าวัดปทุมคงคาราชวรวิหาร

พระราชสันตติวงศ์

พระราชกรณียกิจของสมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)

การสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์

การป้องกันราชอาณาจักร

พระพุทธรูปประจำพระองค์

พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร รัชกาลที่ ๑

พระพุทธรูปประจำพระชนมวาร เป็นพระพุทธรูปปางอุ้มบาตรตามวันพระบรมราชสมภพ สร้างราว พ.ศ. ๒๔๑๐-๒๔๑๑ สร้างด้วยทองคำ บาตรลงยา สร้างโดยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงอุทิศพระราชกุศลถวายพระบรมอัยกาธิราช สูง ๒๙.๕๐ เซนติเมตร ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมาน พระพุทธรูปประจำรัชกาล เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย ขัดสมาธิเพชร ภายใต้พระเศวตฉัตร ๓ ชั้น สร้างราว พ.ศ. ๒๓๖๗-๒๓๙๔ หน้าตักกว้าง ๘.๓ ซ.ม. สูงเฉพาะองค์พระ ๑๒.๕ ซ.ม. สูงรวม ๔๖.๕ ซ.ม. ประดิษฐานในหอพระสุราลัยพิมาน

วันสำคัญ รัชกาลที่ ๑

วันที่ ๒๑ เมษายน วันคล้ายวันสถาปนากรุงรัตนโกสินทร์ (สถาปนากรุงรัตนโกสินทร์เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕)

วันที่ ๖ เมษายนของทุกปี คือ วันจักรี เป็นวันคล้ายวันก่อตั้งราชวงศ์จักรี (เมื่อวันที่ ๖ เมษายน พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช หรือพระบาทสมเด็จพระรามาธิบดีที่ ๑ ทรงเสด็จปราบดาภิเษกขี้นเป็นพระมหากษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี และเป็นวันครบรอบการก่อตั้งราชวงศ์จักรี ในวันนี้ จึงถือเป็นวันสำคัญอีกวันหนึ่งที่พวกเราชาวไทยควรให้ความระลึกถึง วันจักรี)

ตรา สัญลักษณ์ของรัชกาลที่ ๑

พระราชลัญจกร

พระราชลัญจกรประจำพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช รัชกาลที่ ๑ เป็นตรารูป “ปทุมอุณาโลม” หรือ “มหาอุณาโลม” หมายถึง ตาที่สามของพระศิวะ ซึ่งถือเป็นปฐมฤกษ์ในการตั้งพระบรมราชจักรีวงศ์ มีอักขระ “อุ” แบบอักษรขอมอยู่กลาง ล้อมรอบด้วยกลีบบัวอันเป็นดอกไม้ที่เป็นสิริมงคลในพุทธศาสนา

วัดประจำรัชกาลที่ ๑ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช

วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์)

พิกัดที่ตั้ง วัดพระเชตุพนวิมลมังคลารามราชวรมหาวิหาร (วัดโพธิ์) วัดประจำรัชกาลที่ ๑

พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้ากรุงธนบุรี (สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช)

พิกัดที่ตั้ง อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช วัดบางยี่เรือใต้ ธนบุรี


ที่มาข้อมูลและรูปภาพ:

  • เว็บไซต์วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี (th.wikipedia.org)
  • เว็บไซต์สถาบันพระปกเกล้า (kpi.ac.th)

Shares:
ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *