เครื่องประกอบพระบรมราชอิสริยยศ ถวายในการพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ หรือ กกุธภัณฑ์ แปลว่าเครื่องใช้สำหรับพระมหากษัตริย์ของประเทศที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข กกุธภัณฑ์ เป็นคำภาษาบาลี มาจาก กกุธ แปลว่า เครื่องหมายความเป็นพระราชา + ภณฺฑ แปลว่า ของใช้ เครื่องราชกกุธภัณฑ์ จึงหมายถึง อุปกรณ์, เครื่องทรง และ/หรือ สิ่งอื่น ๆ ที่เป็นของพระมหากษัตริย์ของประเทศต่าง ๆ ที่มอบให้แก่พระมหากษัตริย์องค์ต่อไปเพื่อเป็นสัญลักษณ์ของการมอบสิทธิในการครองราชบัลลังก์ เครื่องราชกกุธภัณฑ์จะประกอบด้วย พระมหาพิชัยมงกุฎ, พระแสงขรรค์ชัยศรี, ธารพระกร, วาลวิชนี (พัดวาลวิชนี, พระแส้จามรี), ฉลองพระบาทเชิงงอน และสิ่งอื่น ๆ ที่ถือว่าเป็นสิ่งประกอบเกียรติยศของประมุขของประเทศตามแต่ประเทศไป
เครื่องราชกกุธภัณฑ์ หมายถึงกกุธภัณฑ์ต่าง ๆ ที่ใช้ในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกพระมหากษัตริย์แห่งประเทศไทยและพระราชพิธีที่สำคัญอื่น ๆ เครื่องราชกกุธภัณฑ์แห่งประเทศไทย ระบุไว้ในอภิธานัปปทีปิกา คาถาที่ ๓๕๘ ว่า พระขรรค์ ฉัตร อุณหิส ฉลองพระบาท วาลวีชนี คือ มีฉัตรแทนธารพระกร หรือเรียกรวมกันว่า “เครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์”
ประวัติความเป็นมาของพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นราชประเพณีคู่สังคมไทยมายาวนานโดยได้รับอิทธิพลจากคติอินเดีย แต่ลักษณะการพระราชพิธีแต่เดิมมีแบบแผนรายละเอียดเป็นอย่างไรไม่ปรากฏหลักฐานแน่ชัดแม้แต่การเรียกชื่อพิธีก็แตกต่างกันออกไปในแต่ละสมัย เช่น สมัยอยุธยา สมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้นเรียกว่า “พระราชพิธีราชาภิเษก” หรือ “พิธีราชาภิเษก” ส่วนในปัจจุบันเรียกว่า “พระราชพิธีบรมราชาภิเษก”
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกในอดีต
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยกรุงสุโขทัย
สมัยสุโขทัยมีปรากฏหลักฐานในศิลาจารึกหลักที่ ๒ หรือจารึกวัดศรีชุม ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๑๘ กล่าวถึงการขึ้นเป็นผู้นำของพ่อขุนบางกลางหาว ไว้ว่า “…พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เมืองสุโขทัย ให้ทั้งชื่อตนแก่พระสหายเรียกชื่อศรีอินทรบดินทราทิตย์…” ส่วนในศิลาจารึกวัดป่ามะม่วงภาษาไทย และภาษาเขมรกล่าวถึงเครื่องราชกกุธภัณฑ์ในพิธีบรมราชาภิเษกพระมหาธรรมราชาที่ ๑ (ลิไทย) ว่ามี มกุฎ พระขรรค์ชัยศรี และเศวตฉัตร
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยกรุงศรีอยุธยา
สมัยอยุธยาปรากฏหลักฐานเกี่ยวกับพระราชพิธีบรมราชาภิเษกในคำให้การของชาวกรุงเก่า ข้อความตอนหนึ่งกล่าวถึงขั้นตอนของพระราชพิธีนี้ว่า “…พระเจ้ากรุงศรีอยุธยาจึงโปรดให้เอาไม้มะเดื่อนั้น มาทำตั่งสำหรับประทับสรงพระกระยาสนานในการมงคล เช่น พระราชพิธีบรมราชาภิเษก เป็นต้น พระองค์ย่อมประทับเหนือพระที่นั่งตั่งไม้มะเดื่อ สรงพระกระยาสนานก่อนแล้ว (จึงเด็จไปประทับพระที่นั่งภัทรบิฐ) มุขอำมาตย์ถวายเครื่องเบญจราชกกุธภัณฑ์ คือ มหามงกุฎ ๑ พระแสงขรรค์ ๑ พัดวาลวิชนี ๑ ธารพระกร ๑ ฉลองพระบาทคู่ ๑…”
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยกรุงธนบุรี
ต่อมาในสมัยกรุงธนบุรี ไม่ปรากฏหลักฐานการประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก สันนิฐานว่าทำตามแบบอย่างเมื่อครั้งสมัยสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ แห่งกรุงศรีอยุธยา แต่ทำอย่างสังเขป เพราะบ้านเมืองไม่สงบเรียบร้อย ยังอยู่ในภาวะสงคราม
พระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมัยกรุงรัตนโกสินทร์
ครั้นถึงสมัยรัตนโกสินทร์ เมื่อ พ.ศ. ๒๓๒๕ พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช (รัชกาลที่ ๑) ได้ประดิษฐานพระบรมราชจักรีวงศ์ และทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีปราบดาภิเษกแต่โดยสังเขป ยังไม่พร้อมมูล เต็มตำรา ครั้น พ.ศ. ๒๓๒๖ โปรดให้ข้าราชการผู้รู้ครั้งกรุงเก่า มีเจ้าพระยาเพชรพิชัยเป็นประธาน ประชุมปรึกษาหารือกับสมเด็จพระสังฆราชและพระราชาคณะผู้ใหญ่ทำการสอบสวนร่วมกันตรวจสอบตำราว่าด้วยการราชาภิเษกในแผ่นดินสมเด็จพระเจ้าอุทุมพร หรือขุนหลวงวัดประดู่ แล้วแต่งเรียบเรียงขึ้นไว้เป็นตำรา เรียกว่า “ตำราราชาภิเษกครั้งกรุงศรีอยุธยาสำหรับหอหลวง” เป็นตำราที่เกี่ยวกับการราชาภิเษกที่เก่าแก่ที่สุดเท่าที่พบหลักฐานในประเทศไทย
เมื่อได้แบบแผนการราชาภิเษกที่สมบูรณ์แล้ว อีกทั้งพระราชมณเฑียรสถานที่สร้างขึ้นใหม่แล้วเสร็จใน พ.ศ. ๒๓๒๘ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งการพระราชพิธีบรมราชาภิเษกให้สมบูรณ์ตามแบบแผนอันได้เคยมีมาแต่เก่าก่อนอีกครั้งหนึ่ง และแบบแผนการราชาภิเษกดังกล่าวได้รับการยึดถือปฏิบัติเป็นแบบอย่างสืบมาเพื่อความเป็นพระมหากษัตริย์โดยสมบูรณ์ บางพระองค์ทรงประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒ ครั้ง คือ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวและพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๕) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกครั้งแรก เมื่อวันที่ ๑๒ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๑ เมื่อทรงขึ้นครองราช์สมบัติสืบต่อจากพระบรมชนกนาถ ขณะมีพระชนพรรษาเพียง ๑๕ พรรษา ในระยะเวลาห้าปีแรกของรัชกาล สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค) เป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน จนกระทั่งเมื่อทรงเจริญพระชนพรรษาครบ ๒๐ พรรษา จึงทรงผนวช หลังจากทรงลาสิขาแล้วทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ครั้งที่ ๒ เมื่อวันที่ ๑๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๑๖ หลังจากนั้นทรงรับพระราชภาระ และมีพระราชอำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินโดยสมบูรณ์
ส่วนพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว(รัชกาลที่ ๖) ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษก ๒ ครั้ง คือ พระราชพิธีบรมราชาภิเษกเฉลิมพระราชมณเฑียร เมื่อวันที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๔๕๓ เนื่องจากอยู่ในช่วงกำลังไว้ทุกข์งานพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว จึงโปรดให้งดการเสด็จเลียบพระนครและการรื่นเริง ต่อมาเมื่อถวายพระเพลิงพระบรมศพพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่แล้ว จึงทรงกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประกอบพระราชพิธีบรมราชาภิเษกสมโภช เมื่อวันที่ ๒ ธันวาคม พุทธศักราช ๒๔๕๔ เพื่อให้เป็นส่วนรื่นเริงสำหรับประเทศ อีกทั้งให้นานาประเทศที่เป็นสัมพันธมิตรไมตรีมีโอกาสมาร่วมงาน
ขั้นตอนพระราชพิธีบรมราชาภิเษก
พระราชพิธีบรมราชาภิเษก ประกอบไปด้วย ๕ ขั้นตอนสำคัญ คือ
ขั้นตอนที่ ๑. ขั้นเตรียมพิธี คือการทำพิธีตักน้ำและตั้งพิธีเสกน้ำสำหรับถวายเป็นน้ำอภิเษกและน้ำสรงพระมุรธาภิเษก รวมถึงพิธีจารึกพระสุพรรณบัฏ ดวงพระบรมราชสมภพ และแกะพระราชลัญจกรประจำรัชกาล
ขั้นตอนที่ ๒. พิธีเบื้องต้น มีการเจริญพระพุทธมนต์ ตั้งน้ำวงด้าย จุดเทียนชัย และเจริญพระพุทธมนต์ในการพระราชพิธีบรมราชาพิเษก
ขั้นตอนที่ ๓. พิธีบรมราชาภิเษกในวันพระฤกษ์ มีพิธีสรงน้ำพระมุรธาภิเษกแล้วประทับพระอัฐทิศอุทุมพร รับน้ำอภิเษก ประทับพระที่นั่งอัฐทิศอุทุมพรราชอาสน์ รับการถวายเครื่องสิริราชกกุธภัณฑ์
ขั้นตอนที่ ๔. พิธีเบื้องปลาย มีการเสด็จออกมหาสมาคม สถาปนาสมเด็จพระบรมราชินีแล้วเสด็จพระราชดำเนินไปทำพิธีประกาศพระองค์เป็นศาสนูปถัมภกในพระบวรพุทธศาสนา ถวายบังคมพระบรมศพ พระบรมอัฐิพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระอัครมเหสีในรัชกาลก่อนๆ แล้วเสด็จเฉลิมพระราชมณเฑียร
ขั้นตอนที่ ๕. เสด็จพระราชดำเนินเลียบพระนคร โดยกระบวนพยุหยาตราทั้งทางสถลมารคและทางชลมารค
นิทรรศการชั้นที่ ๑
จัดแสดงเรื่องราวเกี่ยวกับพระราชประวัติพระราชกรณียกิจ และพระราชจริยวัตรของสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณีฯ โดยแบ่งเนื้อหาการจัดแสดงออกเป็นพระราชประวัติขณะทรงพระเยาว์ อภิเษกสมรส การเสด็จพระราชดำเนินประพาสทั้งใน และต่างประเทศ การเสด็จพระราชดำเนินประทับ ณ ประเทศอังกฤษและพระราชกรณียกิจในช่วง ๓๕ ปีสุดท้ายแห่งพระชนม์ชีพโดยจัดแสดง สิ่งของเครื่องใช้ส่วนพระองค์ วัตถุสิ่งของที่มีความเกี่ยวเนื่อง นำเสนอผ่านแบบจำลองและสื่อผสม (Multimedia)
นิทรรศการชั้นที่ ๒
ห้องจัดแสดงบริเวณชั้น ๒ ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเกี่ยวกับพระราชประวัติของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่ขณะทรงพระเยาว์ เสด็จเข้าศึกษาที่ทวีปยุโรป ทรงพระผนวช ทรงอภิเษกสมรสกับหม่อมเจ้ารำไพพรรณี
สวัสดิวัตน์ (พระยศขณะนั้น) เสด็จขึ้นครองราชสมบัติ ทรงสละราชสมบัติ จนกระทั่ง เสด็จสวรรคตและการถวายพระเพลิงพระบรมศพ ณ ประเทศอังกฤษ จนกระทั่ง เชิญพระบรมอัฐิกลับมายังประเทศไทย นอกจากนี้ ยังจัดแสดง
เรื่องราวเกี่ยวกับพระจริยวัตรและพระราชนิยมส่วนพระองค์ในด้านต่างๆ เช่น ดนตรี กีฬา ภาพยนตร์
นิทรรศการชั้นที่ ๓
ห้องจัดแสดงบริเวณชั้น ๓ ของพิพิธภัณฑ์ จัดแสดงเครื่องใช้ส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เช่น ฉลองพระองค์ พระมาลา ฉลองพระบาท รวมทั้ง พระราชกรณียกิจต่างๆ เช่น การจัดพิมพ์พระไตรปิฎกฉบับพิมพ์อักษรไทยที่สมบูรณ์ การพระราชทานปริญญาบัตรแก่บัณฑิตที่จบการศึกษาเป็นครั้งแรกของประเทศไทย พระราชดำริที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญในพิธีฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี การเปิดสะพานพระพุทธยอดฟ้าและปฐมบรมราชานุสรณ์ พระราชลัญจกรในพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
ศาลาเฉลิมกรุง
เป็นห้องฉายภาพยนตร์ โดยจำลองบรรยากาศจากโรงภาพยนตร์ศาลาเฉลิมกรุงซึ่งรัชกาลที่ ๗ ทรงโปรดเกล้าฯจำลองจัดฉายภาพยนตร์ทั้งภาพยนตร์ทรงถ่าย ภาพยนตร์เก่าร่วมรัชสมัย และภาพยนตร์สารคดีเกี่ยวกับการปกครอง
นิทรรศการหมุนเวียน
จัดแสดงนิทรรศการที่มีความน่าสนใจและมีการเปลี่ยนแปลงทุกๆ ๖ เดือน (สามารถสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ได้จากเว็บไซต์ kingprajadhipokmuseum.com)
อาคารรำไพพรรณี
จัดแสดงรถยนต์พระที่นั่ง ครั้งประทับที่ประเทศอังกฤษ บริเวณลานอเนกประสงค์ชั้น ๒
ศูนย์ข้อมูลพระปกเกล้า
เป็นห้องสมุดเฉพาะที่รวบรวมหนังสือ เอกสาร สื่อโสตทัศน์ ไมโครฟิล์มเอกสารกระทรวงต่างๆ สำเนาพระบรมฉายาลักษณ์ สำเนาภาพยนตร์ส่วนพระองค์ รวมทั้งงานวิจัยซึ่งรวบรวมเอกสารจากประเทศต่างๆ
สถาปัตยกรรมสำคัญภายในพิพิธภัณฑ์
อาคารอนุรักษ์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
เดิมคือที่ทำการของห้างยอน แซมป์สัน แอนด์ ซัน (John Sampson & Son Limited) ซึ่งเป็นสาขาของห้าง Messrs. Sam & Sampson & Son จำหน่ายผ้าและรับตัดเสื้อผ้า รองเท้า รวมทั้งอานม้าที่มีซื่อเสียงย่านบอนด์สตรีท (Bond Street) กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้ทรงชักชวนให้มาเปิดสาขาในกรุงเทพฯ เมื่อคราวเสด็จฯ ประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๔๐ ในระยะแรกเริ่มคือ พ.ศ. ๒๔๔๑ ทางห้างได้เช่าห้องแถว ณ ถนนพระสุเมรุ เพื่อประกอบกิจการ ต่อมาใน พ.ศ. ๒๔๔๙ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวโปรดเกล้าฯ ให้กรมพระคลังข้างที่ลงทุนก่อสร้างอาคารขนาดใหญ่บนพื้นที่ ๑,๐๐๘ ตารางวา เชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ระหว่างถนนหลานหลวงกับถนนดำรงรักษ์ ค่าที่ดินและค่าก่อสร้างเป็นเงินรวม ๒๕๘,๕๕๐ บาท เพื่อให้ห้างนี้เช่าเป็นสำนักงานใหญ่โดยเฉพาะ
กรมศิลปากรได้ขึ้นทะเบียน และกำหนดเขตที่ดินและอาคารเป็นพื้นที่โบราณสถาน กรมโยธาธิการได้เช่าอาคารแห่งนี้จากสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จนถึง พ.ศ. ๒๕๔๔ จึงได้มอบสิทธิการเช่าให้แก่สถาบันพระปกเกล้า เมื่อวันที่ ๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๔๔ เพื่อใช้เป็นที่ตั้งพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว สถาบันฯ ได้ดำเนินการปรับปรุงตกแต่งอาคารแล้วเสร็จในปลายเดือนพฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๔๕
อาคารรำไพพรรณี พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
สถาบันพระปกเกล้าได้หารือร่วมกับสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรและสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เพื่อจัดตั้งพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวร่วมกัน ทั้งสองหน่วยงานเห็นชอบกับความคิดดังกล่าว จึงได้นำเรื่องนี้เสนอที่ประชุมสภาสถาบันพระปกเกล้าเมื่อวันที่ ๔ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ที่ประชุมสภาสถาบันฯ ได้ให้ความเห็นชอบ ดังนั้น ในวันที่ ๑๗ มีนาคม ๒๕๔๖ สถาบันพระปกเกล้าได้จัดประชุมหารือร่วมระหว่าง ๓ หน่วยงานเพื่อจัดสรรการใช้พื้นที่อาคารดังกล่าว จากนั้นวันที่ ๓๐ กรกฎาคม ๒๕๔๖ ทั้ง ๓ หน่วยงานลงนามในบันทึกข้อตกลงการใช้พื้นที่ร่วมกัน โดยมีแนวคิดและสาระสำคัญ ดังนี้
“…สถาบันพระปกเกล้า สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรี และสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ตระหนักถึงความสำคัญของการเผยแพร่ความรู้ด้านการเมืองการปกครองในระบอบประชาธิปไตยสู่ประชาชน โดยผ่านสื่อและกิจกรรมรูปแบบต่างๆ เพื่อให้ระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขมีความเป็นปึกแผ่นและยั่งยืน หน่วยงานทั้ง 3 ฝ่ายจึงได้ทำข้อตกลงการใช้พื้นที่อาคาร 5 ชั้น ให้พื้นที่บริเวณนี้เป็นกลุ่มพิพิธภัณฑ์ที่เกี่ยวเนื่องกับการเมืองการปกครองของไทย อันจะเป็นประโยชน์แก่ผู้เข้าชมที่สามารถเยี่ยมชมและศึกษา ค้นคว้าหาความรู้จากพิพิธภัณฑ์ทั้ง 3 แห่งในสถานที่เดียวกัน และให้สถาบันพระปกเกล้าเป็นผู้เสนอของบประมาณในการออกแบบ ปรับปรุง และตกแต่งอาคาร 5 ชั้นเพื่อจัดทำเป็นพิพิธภัณฑ์ร่วมกัน โดยสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีและสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้สนับสนุน..”
บันทึกข้อตกลงการใช้พื้นที่ร่วมกัน ระหว่าง ๓ หน่วยงาน
เมื่อดำเนินการปรับปรุงตกแต่งอาคารใกล้แล้วเสร็จ คณะกรรมการพิพิธภัณฑ์ฯ ได้หารือเรื่องชื่ออาคารและพิธีเปิดอาคาร เพื่อเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้ารำไพพรรณี พระบรมราชินี ในรัชกาลที่ ๗ ดังนั้น สถาบันพระปกเกล้าจึงขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เชิญพระนามาภิไธย “รำไพพรรณี” เป็นชื่ออาคารพิพิธภัณฑ์เพื่อคู่กับอาคารพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และได้พระราชทานพระบรมราชานุญาตให้ใช้ชื่ออาคารที่ปรับปรุงใหม่ว่า “อาคารรำไพพรรณี” ตามที่ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ในการนี้ สถาบันพระปกเกล้าได้กราบบังคมทูลเชิญ สมเด็จพระกนิษฐาธิราชเจ้า กรมสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ขณะดำรงพระยศ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดอาคารรำไพพรรณีและพิพิธภัณฑ์ที่จัดแสดงภายในอาคารทั้ง ๒ แห่ง ในวันที่ ๙ มกราคม ๒๕๕๑
หนังสือแนะนำ
พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เสด็จเลียบมณฑลภูเก็ต พุทธศักราช 2471
หนังสือเรื่องพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จ เลียบมณฑลภูเก็ต พ.ศ. ๒๔๗๑ จัดพิมพ์ขึ้นในวาระคล้ายวันสวรรคตของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในวันที่ ๓๐ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๔๓ เป็นเอกสารจดหมายเหตุเกี่ยวกับการประชุมเตรียมการ บันทึกการประชุม หมายกำหนดการและการจัดขบวนเสด็จ พระราชดำรัส ค่าใช้จ่าย รวมถึงภาพถ่ายในการเสด็จพระราชดำเนินเยือนจังหวัดต่างๆ
หนังสือฝรั่งเศสในพระชนม์พระปกเกล้า
หลังจากวิกฤตการณ์ ร.ศ. ๑๑๒ เมื่อ พ.ศ. ๒๔๓๖ ฝรั่งเศสเป็นเจ้าอาณานิคมเหนือดินแดนอินโดจีน ความสัมพันธ์ระหว่างสยามและฝรั่งเศสอยู่ในภาวะตึงเครียด กระทั่งเมื่อพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๗ ทรงเลือกศึกษาต่อวิชาการทหารชั้นสูงที่โรงเรียนเสนาธิการทหารแห่งประเทศฝรั่งเศส เหตุการณ์ดังกล่าวนับเป็นหมุดหมายที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ ซึ่งเป็นโอกาสในการฟื้นฟูความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศได้ ข้อมูลทางประวัติศาสตร์นี้ศูนย์ข้อมูลพระปกเกล้าศึกษาได้รวบรวมจากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ๓ แหล่ง ได้แก่ พระราชประวัติและพระราชกรณียกิจในพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว, จดหมายเสด็จพระราชดำเนินประพาสยุโรป พ.ศ. ๒๔๗๖ – ๒๔๗๗ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว และงานวิจัยเรื่อง เอกสารชั้นต้นฝรั่งเศสกับรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว มาเรียบเรียงใหม่ตามช่วงเวลา เพื่อให้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ที่สำคัญในรัชสมัย อันแสดงถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับประเทศฝรั่งเศส ภายในเล่มกล่าวถึง การศึกษาขั้นพื้นฐาน และเรื่องราวของโรงเรียนเสนาธิการทหารเอกอล เดอ แกร์ ตลอดจนพระมหากษัตริย์ในฐานะ “นักเรียนเก่าฝรั่งเศส” ผู้มีบทบาทในการสร้างสัมพันธไมตรีระหว่างสองประเทศจากการเสด็จเยือนอินโดจีนแห่งฝรั่งเศส และประเทศฝรั่งเศสในภายหลัง อันเป็นองค์ความรู้ด้านพระปกเกล้าศึกษาที่ทรงคุณค่า
หนังสือวัตถุชิ้นเอกในพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
หนังสือวัตถุชิ้นเอกในพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเล่มนี้ สามารถใช้เป็นคู่มือประกอบการชมนิทรรศการถาวรในพิพิธภัณฑ์ฯ ได้เป็นอย่างดี เนื่องจากภัณฑารักษ์พิพิธภัณฑ์ฯ ได้ศึกษาค้นคว้าข้อมูลคัดเลือกเครื่องราชภัณฑ์และวัตถุร่วมสมัยที่ทรงคุณค่าโดยแบ่งเป็นหมวดหมู่ อาทิ หมวดบรมราชาภิเษก หมวดฉลองพระนคร ๑๕๐ ปี หมวดเครื่องราชอิสิริยาภรณ์ หมวดเครื่องหมายต่างๆ
หนังสือจดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและนครเชียงใหม่ พ.ศ. 2469
จดหมายเหตุพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและนครเชียงใหม่ พ.ศ. ๒๔๖๙ป็นบันทึกพระราชกรณียกิจต่างๆ ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ในคราวเสด็จพระราชดำเนินเลียบมณฑลฝ่ายเหนือและนครเชียงใหม่ เมื่อวันที่ ๖ มกราคม ถึงวันที่ ๖ กุมภาพันธ์ พ.ศ. ๒๔๖๙ นอกจากนี้ ยังได้มีการบันทึกคำกราบบังคมทูลและพระราชดำรัสต่างๆ ในระหว่างการเสด็จฯ ครั้งนั้น อาทิเช่น การสมโภชพระพุทธชินราชและพระราชทานพระแสงราชศัสตราเมืองต่างๆ การสมโภชช้างพลายสำคัญ และการเสด็จเยี่ยมโรงเรียนต่างๆ ฯลฯ
หนังสือประกอบนิทรรศการ สายสัมพันธ์สองธรรมราชา
(TWO VIRTUOUS KINGS : PRAJADHIPOK AND BHUMIBOL)
หนังสือประกอบนิทรรศการสายสัมพันธ์สองธรรมราชาเล่มนี้เป็น หนังสือประกอบนิทรรศการชั่วคราวที่จัดขึ้นในมหามงคลวโรกาสฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปี ใน พ.ศ. ๒๕๔๙ ณ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวระหว่างวันที่ ๒ กรกฎาคม – ๓๐ กันยายน ๒๕๔๙ เนื้อหากล่าวถึง สายสัมพันธ์ทางพระโลหิตระหว่างพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวกับพระบาท สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช การเป็นพระมหากษัตริย์ในระบอบรัฐธรรมนูญ การสืบสานโบราณราชประเพณี ธรรมจริยาในพระราชจริยวัตร การทรงเป็นครูของแผ่นดิน พระมหากรุณาธิคุณในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ และการพระราชทานปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงเพื่อการพัฒนาอย่างยั่งยืนบนผืนแผ่นดินไทยโดยมีเนื้อหาทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษ
ข้อมูลท่องเที่ยว พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
พิกัดที่ตั้ง พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว กรุงเทพฯ
การเดินทางเพื่อท่องเที่ยวพิพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
- รถโดยสารประจำทางสาย : 2, 15, 44, 47, 59, 60, 70, 79, 157, 169, 183, 503, 509, 511, 556 (ลงป้ายแยกสะพานผ่านฟ้าลีลาศ) - เรือโดยสารคลองแสนแสบ : ท่าเรือสะพานผ่านฟ้าลีลาศ - BTS : สถานีราชเทวี ต่อเรือโดยสารคลองแสนแสบท่าเรือสะพานหัวช้าง - MRT : สถานีเพชรบุรี ต่อเรือโดยสารคลองแสนแสบท่าเรืออโศก *มีที่จอดรถ ด้านหลังอาคารอนุรักษ์ พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว
อัตราค่าเข้าชม
เข้าชม ฟรี
การแต่งกาย
นักท่องเที่ยวควรแต่งกายให้สุภาพ
เวลาทำการ (ปิด-ปิด)
เปิดทุกวันอังคาร - วันอาทิตย์ ตั้งแต่เวลา 09.00 - 16.00 น. (เว้นวันจันทร์ วันปีใหม่ และวันสงกรานต์)
ที่ตั้ง
พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว เลขที่ 2 ถนนหลานหลวง แขวงวัดโสมนัส เขตป้อมปราบศัตรูพ่าย กรุงเทพฯ 10100
ติดต่อ
โทรศัพท์ : 0 2280 3413 4 โทรสาร : 0 2281 6820 อีเมล์ : kpimuseum@kpi.ac.th เว็บไซต์ : kingprajadhipokmuseum.com
*ที่มา: เว็บไซต์ พระราชพิธีบรมราชาภิเษก พุทธศักราช ๒๕๖๒ http://www.phralan.in.th/